วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 15/6 (2)


พระอาจารย์
15/6 (570602B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
2 มิถุนายน 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ :  ต่อจากแทร็ก 15/6  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  เพราะนั้น เมื่อเราทำความเข้าใจชัดเจน ในระดับจินตา ในระดับสุตตะ ในความหมายของศีลสมาธิปัญญา ...แล้วก็ให้ยึดศีลสมาธิปัญญาเป็นหลัก อย่าไปยึดสิ่งอื่น 

อย่าไปยึดธรรมอื่นที่มันนอกเหนือจากศีลสมาธิปัญญาในปัจจุบัน ...ยืนเดินนั่งนอนต้องตรวจสอบได้ จะนั่งหลับตา จะนั่งลืมตา จะนั่งสมาธิหรือจะนั่งไขว่ห้าง ...มันมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาในท่าทางนั้นมั้ย

ไม่ใช่ว่าตั้งท่าว่านั่งสมาธิ...ขัดสมาธิแล้วหลับตาตั้งตัวตรงหลังตรง ก็เรียกว่ามีศีลสมาธิปัญญาแล้ว นี่บางทีไม่มีเลย กลวงโบ๋เบ๋หมดเลยก็มี ...เพราะว่าข้างในมันมีแต่ความว่าง มีแต่ความว่างเปล่า

เข้าใจรึเปล่า มีแต่ความว่างเปล่ากับความมืดบอด โดยที่...ศีลอยู่ไหนกูไม่สน สมาธิคืออะไรกูไม่รู้ กูว่าง สบาย นี่ สมองก็ว่าง ยังมีให้มันว่างทั้งตัวไปหมดอีก ...นี่โง่เต็มตัวเต็มจิตเลย

ศีลสมาธิปัญญาอยู่ไหนไม่รู้เลย คืออะไรก็ไม่รู้ และก็ไม่ใส่ใจเลย  แต่ก็ยังมีความกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ว่านี่ครบแล้วศีลสมาธิปัญญา ...โคตรจะมั่วเลย เนี่ย มันเหมาเอาเอง

มันต้องตรวจสอบได้ทุกวินาที ทุกขณะ ทุกปัจจุบัน...ว่าเดี๋ยวนี้ศีลมีมั้ย สมาธิมีมั้ย ปัญญามีมั้ย  สามตัวนี่มันต้องมี ...ถึงไม่มีสามตัวโดยชัดเจน ก็ต้องมีตัวใดตัวหนึ่ง

โดยเฉพาะศีล...ขาดไม่ได้  คือกายนี่...ยังไงมันต้องมี ขาดไม่ได้ ทิ้งไม่ได้เลย ...อย่าปรามาสกาย อย่าประมาทกาย อย่าดูถูกกาย อย่าเหยียดหยามกาย ...นี่ สำคัญที่สุดเลย

ถ้าไม่มีกายก็หมายความว่าไม่มีขันธ์ ถ้าไม่มีกายเมื่อไหร่ หมายความว่าออกนอกขันธ์ห้า ...เพราะในความเป็นจริง กายนี่มันเป็นศูนย์รวมของขันธ์ห้า ถ้าไม่มีกายก็จะไม่มีขันธ์ห้า...ทันทีเลย

ทั้งที่ยังมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม ...ในลักษณะที่ยังมีชีวิตแล้วไม่มีกาย ก็เรียกว่าไม่อยู่ในขันธ์ห้าแล้ว เหมือนกับขันธ์ห้ามีอยู่...แต่ไม่อยู่ ...มันไปอยู่ที่ไหน

จิตมันพาไปอยู่ที่ไหน ...ไปอยู่ที่มืดบอดบ้าง ไปอยู่ที่ไหนไม่รู้บ้าง ไปอยู่ที่ไม่มีบ้าง ไปอยู่ที่ที่มันสร้างขึ้นมาใหม่เองบ้าง ไปอยู่ในอารมณ์บ้าง ไปอยู่ในความคิดคำนึงของคนอื่นบ้าง ...มันไม่ได้อยู่ในขันธ์เลย 

แล้วก็ปล่อยจิตปล่อยใจให้มันไปตะลอนทัวร์สามแดนโลกธาตุนั่นน่ะ ออกทัวร์จนจะได้บัตรทองแล้ว สะสมเข็มไมล์จนได้นั่งฟรีแล้ว ...ก็ยังสนุกเพลิดเพลินในการตะลอนไปมา หาสุขหาทุกข์ใหม่ๆ แปลกๆ

มันไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ  มีอำนาจของตัณหาทะยานอยากคอยหนุนคอยเนื่อง คอยผลักคอยดันออกไปอยู่ตลอดเวลา  ไม่ยอมหยุด ไม่ยอมกำราบ ไม่ยอมรั้งไว้...ด้วยศีลด้วยสติด้วยสมาธิ

สมาธินี่มันเป็นตัวรั้งตัวดึง มันตั้งมั่นโดยมีกรอบ ไม่ให้มันทะลุกรอบขันธ์ ทะลุกรอบกาย...คือศีล แค่นี้เองน่ะ ...มันไม่ใช่ไปทำอะไรให้มันวิจิตรพิสดาร อลังการอะไรขึ้นมาเลย

การค้นหาธรรม...ทั้งที่นั่งกิน นอนกิน ยืนกิน อยู่บนก้อนธรรมกองธรรม ก้อนธาตุกองธาตุ ...ก็ยังไปดิ้นรนขวนขวายหาธรรมไหนกันอยู่ก็ไม่รู้ 

สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังความหมาย...โดยนัยยะที่แท้จริงของศีลสมาธิปัญญาในองค์มรรคนี่ ...มันก็ไม่ใช่ว่าจะมีทุกคนที่มันเข้าใจ 

อันนี้ก็โทษกันไม่ได้ ...มันแล้วแต่การประกอบภาวนาที่มันสะสมกันมา  มันก็ยังไม่ถึงเวลาแห่งการบำเพ็ญบารมีเพื่อให้เข้าสู่ศีลสมาธิปัญญานั่นเอง

เพราะนั้นการเข้าสู่ศีลสมาธิปัญญา ไม่ใช่ของง่ายๆ ...ไม่ใช่ว่ามานั่งฟังเราแล้วก็มาถึงมาเข้าใจ แล้วก็ยอมรับได้เลย 

นีี่ มันผ่านการอบรมมาพอสมควรแล้ว ในหลายๆ ชาติมาก่อน ...ไม่ใช่มาฟังครั้งเดียว สองครั้ง ห้าครั้ง สิบครั้ง แล้วมันก็ยอมเข้าใจ แล้วเอาไป...น้อมนำไปปฏิบัติกันได้ 

หรือถึงขนาดยอมรับเข้าใจแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะจริงจังเอาเป็นเอาตายในศีลสมาธิปัญญาอย่างเต็มพิกัดเลยทีเดียว ...เพราะนั้น มันต้องผ่านการบ่มศีลสมาธิปัญญามา...มากมายก่ายกอง

ถึงบอกว่าฟังน่ะง่าย ฟังดูเราอธิบายน่ะง่าย มันเป็นเรื่องที่สามารถรู้ได้ ทุกคนทำได้ ทุกคนน่ะง่าย  เข้าใจได้ง่าย ...แต่การจะยอมจิตยอมใจลงไป เนี่ย มันยาก

หรือคนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย ก็ยิ่งห่างไกลไป...จนเรียกว่าสุดอนันตาจักรวาล  มันไปท่องอยู่ในปลายขอบจักรวาล แล้วรอยต่อของจักรวาลน่ะคือความว่าง มันไปสุดขอบจักรวาลนั่น

แล้วจักรวาลต่อจักรวาลนีี่ มันเป็นลักษณะที่ภาษาโบร่ำโบราณเขาเรียกว่าแดนสุขาวดี คือมันสุดขอบจักรวาล จักรวาลไม่มีประมาณ หมายความว่าจักรวาลมีเป็นอนันตา แล้วมันก็มีรอยต่อจักรวาลกับจักรวาล

เหล่าโยคีฤาษีชีไพรนี่บำเพ็ญมา ...ก็ไปบำเพ็ญอยู่ขอบจักรวาลน่ะ เรียกก็ไม่ค่อยได้ยิน มันไกล เสียงเรามันเบา มันเลยไม่ฟัง มันไปอยู่ในนั้นมันไม่ฟัง เสียงมันเข้าไม่ถึง มันไกลเกิน สุดขอบ

ขนาดยานอวกาศจานบินยังข้ามจักรวาลไม่ได้เลยนะ มนุษย์ต่างดาวไม่สามารถข้ามจักรวาลได้นะ  แต่จิตมนุษย์นี่ข้ามได้  แต่ก็ข้ามไปได้แค่นั้น...ขอบจักรวาล

ที่ไปได้มีองค์เดียว...พระโมคคัลลาน์  นี่...จักรวาลไม่มีประมาณ ไปดู ไปเลย ทั้งกายหยาบกายทิพย์ไปพร้อมกัน อิทธิฤทธิ์นี่เต็มร้อย ...อภิญญาใหญ่ 

ไม่ใช่มโนมยิทธิ ไม่ใช่มโน เอาแค่จิตไปนะ ยกไปทั้งขันธ์ห้านี่แหละ ไปสุดขอบเลย จนถึงสุดชมพูทวีป ...นี่ สุดจักรวาลนี้ จักรวาลที่อยู่นี่ เรียกว่าชมพูทวีป 

ข้ามหลุดจากชมพูทวีปไป ก็ไปสู่ความเวิ้งว้างของรอยต่อจักรวาล ตรงนั้นน่ะ ท่านไปหลงอยู่ตรงนั้นน่ะ ไม่รู้จะไปตรงไหน มันมืด มันว่าง มันไม่มีดาวไม่มีอะไรเป็นนิมิตหมายเลย

ก็ยุ่งล่ะกู กลับไม่ถูก กลับชมพูทวีป กลับโลก...โลกมนุษย์ที่พระพุทธเจ้ายังอยู่ไม่ถูก เอาไงดี เคว้าคว้างอยู่อย่างนั้น ...นั่นน่ะเป็นที่อรูป ระหว่างจักรวาล ไม่รู้จะไปทางไหน

ร้อนถึงพระพุทธเจ้า...ในจักรวาลอื่นนะ ไม่ใช่สมณโคดมองค์นี้นะ ...ก็เป็นแสงมาจากความมืดมิดอีกฟากไม่รู้ตรงไหน มาพร้อมกับนิมิตภาพให้เห็นว่าเป็นพระพุทธเจ้า ...แต่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าสมณโคดม

แล้วก็มีเสียงพูดมาด้วยว่า...โมคคัลลาน์ มันเกินทวีปแล้ว ไปไม่ได้นะ ข้ามไม่ได้  มันคนละส่วน คนละรูปนาม คนละลักษณะ ไปไม่ถึง ถ้าไม่ใช่พุทธะด้วยกันเอง ไปไม่ได้

ก็บอกว่า...โมคคัลลาน์ให้ตามแสงนี้ไป ส่องฉัพพรรณรังสี เป็นรัศมีส่องมา ...เธอตามแสงนี้ไป จนกว่าจะเห็นแสงธรรมของสมณโคดม แล้วเธอตามแสงธรรมของสมณโคดมไป แล้วท่านจะกลับโลกได้

นี่ ท่านลิงก์กัน พระพุทธเจ้าท่านลิงก์กัน ท่านรู้จักกันดี เผ่าพันธุ์เดียวกันคุยกันรู้เรื่อง ...คือเครือข่ายนี่ยิ่งกว่าเวิลด์วายเว็บ แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ข้ามทวีปนะ เวไนยใครเวไนยนั้น...สัตว์โลก ก็โปรดเวไนยส่วนนั้น

แต่ขอบข่ายทัสสนะญาณ...สัพพัญญุตญาณนี่ ครอบคลุมอนันตาจักรวาล ครอบคลุมทุกจักรวาลที่มีอยู่ ...ไปหมด ไปโดยไม่มีประมาณเลย พระพุทธเจ้า  ก็รับรู้กันได้ ส่งมารับ แล้วก็มาเชื่อมแสงต่อกัน

พระโมคคัลลาน์ก็เลยกลับคืนสู่โลกได้ นั่น ความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่มันเกินกว่ามนุษย์จะไปถึง ถึงจะมีอิทธิฤทธิ์ขนาดไหน นี่พระโมคคัลลาน์ไม่แค่เอาจิตไปนะ ยกไปทั้งกายทั้งขันธ์เลย ...ก็ยังข้ามไม่ได้

แล้วลองนึกดู ไอ้พวกจิตที่มันไปเกิดในอรูป มันก็อยู่ตรงนั้น ...นี่่ มันไม่มีอายุ มันไม่มีอะไร มันไม่มีที่ไปที่มา ก็อยู่ตรงนั้น...จนกว่ามันจะหมดกำลัง

เพราะนั้นเรื่องของความเป็นไปในอนันตาจักรวาลนี่ มันซับซ้อน มันลึกซึ้ง มันกว้างมหาศาล ...คำว่าไม่มีประมาณนี่ ไม่ใช่เล็กน้อย ...มันไม่มีอะไรมาเป็นมาตรวัดได้เลย 

มันไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีนัมเบอร์ไหนจะมาเป็นมาตรวัดอะไรได้เลย มันยิ่งใหญ่มโหฬารจริงๆ ...เกินกว่าจิตมนุษย์จะหยั่งถึง เว้นเสียแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

นี่แหละที่พระพุทธเจ้า ที่ท่านบอกไว้ในตำรับตำราว่า...พระพุทธเจ้าทั้งหลายนี่มีมากมายยิ่งกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทรอีก  เดี๋ยวนี้ก็มี...แต่คนละทวีป คนละจักรวาล

แล้วการเกิดการตายของมนุษย์นี่มันไม่ข้ามจักรวาลไป มันอยู่ในไหนก็ในนั้นน่ะ เกิดตายอยู่ในนั้นน่ะ ถ้าเมื่อใดจักรวาลนั้นมันถึงอายุขัย มันก็ถูกดูดกลืนทำลายไปโดยในหลุมดำ มันดูดกลืนหมดน่ะ...สลาย 

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจิตวิญญาณสัตว์มนุษย์ที่มันอยู่ในจักรวาลนั้น มันจะสูญหายไปได้ ...ไม่สูญ ไม่มีอะไรทำลายได้น่ะ ...แต่ธาตุนี่ถูกทำลายได้ สลายกลายเป็นความว่าง กลายเป็นอรูปได้

แต่จิตวิญญาณไม่มีอะไรมาทำลายได้เลย ...มันก็เคว้งคว้างอยู่ในความว่างเปล่าของจักรวาลที่มันหายไป จนกว่าจักรวาลใหม่มันจะก่อเกิดขึ้น แล้วก็มีสมดุลจนเป็นโลกขึ้นมา

นั่นแหละ ก็มาเกิดตรงนั้น มาจับออกซิเจน คาร์บอน น้ำ หล่อหลอมขึ้นมาเป็นธาตุสี่ใหม่ ...วนเวียนอยู่อย่างนั้น ไม่มีประมาณ ไม่มีสิ้นสุด 

นี่ ไม่มีอะไรทำลายจิตได้ ไม่มีอะไรทำลายความดำรงคงอยู่ของอวิชชาได้...ที่มันก่อรวมเป็นจิตหมุนวนอยู่ในสัตว์ สังสารวัฏ หมุนวนอยู่ในจักรวาล

เว้นเสียแต่ศีลสมาธิปัญญาเพียงอย่างเดียว ถ่ายเดียวเท่านั้น ...ไอ้ที่เรียกว่ารู้ตัวๆ นี่แหละ มันเป็นทางรอดทางเดียว วิธีเดียว...เอกายนมรรค ไม่มีทางอื่น ไม่มีวิธีอื่น ไม่มีเครื่องมืออื่นเลย ไม่มีอุบายด้วย

ถ้ามันสามารถศรัทธาในศีลสมาธิปัญญาได้จริงๆ จังๆ แล้วนี่ ยังไงก็รอด...รอดจากการเกิดการตาย รอดจากการวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ จักรวาล


(ต่อแทร็ก 15/7)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น