วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 15/5



พระอาจารย์
15/5 (570602A)
2 มิถุนายน 2557


พระอาจารย์ –  ต้องขยัน ...อย่าปล่อย อย่าปล่อยให้ลอย อย่าปล่อยไหล 

ส่วนมากลอย ไหล แล้วก็ไม่จริงจัง ...มันรามือ มันก็ไม่เกิดความชัดเจน  เพราะนั้นมันก็ไม่เชื่อ จิตมันก็ยังไม่เชื่อ ไม่ยอมเชื่อง่ายๆ หรอก ว่ากาย ว่าขันธ์นี่ไม่ใช่เรา

จิตนี่มันจะต้องเต็มรู้เต็มเห็นอยู่ รู้เห็นให้มันเต็มอยู่ในจิตใจ ไม่มีปล่อย รามือวางมือเลย จิตมันจึงค่อยๆ ยอม เหมือนกับถูกบังคับให้ต้องรู้ต้องเห็นในสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นอยู่จริงเท่านั้น ถ่ายเดียว หน้าเดียวเท่านั้น

ถ้ามันออกไป มีช่องออกไป อยู่กับภายนอก หรืออยู่กับความปรุงแต่งของจิตน่ะ มันล้วนแล้วแต่ไม่จริง ...ซึ่งบางทีมันก็ไปสนับสนุนความเชื่อผิดๆ ว่าไอ้ที่ไม่จริงน่ะมีจริง ว่าเที่ยง ว่าคงอยู่ มีตัวตนจับต้องได้

แต่ถ้ามันถูกควบคุมด้วยความเพียร สติ สมาธิ  ไม่ปล่อยจิตปล่อยใจ ให้ปรุงให้แต่งเกินไป ...มันก็มอง มันก็รู้เห็นสภาพเดียว รู้เห็นอยู่สภาพเดียว...คือปัจจุบันขันธ์

ปัจจุบันขันธ์ ปัจจุบันกาย นั่นแหละเป็นรากเหง้าของขันธ์ ...ลงที่เดียว รู้ที่เดียว จนมันเต็มกาย  กายนี่จนเต็ม ไม่ขาด ไม่ละเลย ไม่ขาดหาย ไม่ว่างเว้นเลย

จิต..ต่อให้มันดื้อด้านขนาดไหน ยึดมั่นถือมั่นขนาดไหนก็ตาม ...มันทานอำนาจการรู้การเห็นด้วยความต่อเนื่องไม่ได้หรอก  ไม่ปล่อยมันก็ต้องปล่อย ไม่วางมันก็ต้องวาง

ด้วยปัญญาที่มันไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียง ไม่รู้จะเอาอะไรมาลบล้างความเป็นจริง มันก็จำยอมต้องเชื่อ ...เมื่อมันจำยอมต้องเชื่อ มันก็ต้องละลายพฤติกรรมความเชื่อของมันเอง

เพราะนั้นไอ้ตัวจิต จิตผู้ไม่รู้นี่ มันเหมือนกับเป็นสัตว์ สัตว์เลี้ยงตัวนึงที่มันถูกสร้างขึ้นมา...เป็นเรา  มันถูกสร้างขึ้นมา จำลองขึ้นมา ด้วยสภาพ อวิชชานั่นน่ะ ดูเหมือนมีชีวิต

แล้วก็เป็นสัตว์เลี้ยงที่มันถูกใช้งานมาเพื่อทำเรื่องทำราว หาเรื่องหาราว ไขว่คว้าควานค้น ไปในที่ต่างๆ ที่มันว่าจะเป็นสุข เป็นอะไรที่สบาย ที่น่าอยู่น่าใคร่ 

นั่นน่ะ มันถูกปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่นี้  มันจึงเหมือนมีชีวิต...เป็นเราขึ้นมา

แต่ถ้ามันถูกจำกัดสิทธิของมัน ไม่ให้มันเพ่นพ่าน ไปตามอำนาจความปรุงแต่งของมันเอง ตามที่มัน..เหมือนถูก set ไว้อย่างนั้นน่ะ ...อวิชชามัน set ความเป็นเรา ความเป็นของเราไว้ในนั้น

มันก็จะไปตามฟอร์มของมัน ไปสร้าง ไปหา ไปค้น เพื่อให้เกิดอะไรขึ้นมาสักอย่างนึง แล้วมันก็เข้าไปเสวย เป็นอารมณ์ ไปกลืนกินมาเป็นอารมณ์ของเรา...สุขบ้าง ทุกข์บ้าง

แล้วก็อารมณ์ไหนที่มันประสบพบพานแล้วมันเป็นทุกข์ มันก็พยายามหนี...ไปสร้างใหม่ หาใหม่ อย่างนั้น แล้วก็จริงจังอยู่ในสุขและทุกข์ตลอดเวลา

ด้วยความคุ้นเคย ว่าสุขเที่ยง ว่าทุกข์นี้เที่ยง มีอยู่จริง ในโลกนี้มีสุขมีทุกข์จริง ...มันเชื่อของมันอย่างนั้น ทั้งโลกนี้ โลกหน้า และโลกอดีต ...มันมีหมด

ความสุขก็มีอยู่ในโลกอดีต ความสุข...ในโลกปัจจุบันก็มีความสุข ในโลกอนาคตมันก็ว่ามันมีความสุข ...มันก็จริงจังมั่นหมายอยู่อย่างนั้นน่ะ

เพราะมันถูก set มาอย่างนั้น ให้มีความเชื่ออย่างนั้น...อยู่ในมโนสันดาน ในสันดาน ในมโนสัญญเจตนา ที่เหมือนมันโปรแกรมไว้อย่างนั้น

แต่คราวนี้ว่าถ้าควบคุม สำรวมจิต ให้มันอยู่ในกรอบปัจจุบัน กรอบขันธ์ กรอบกาย กรอบศีลนี่ ซึ่งเป็นสภาพที่พอยอมรับได้บ้าง พอยอมรับได้ว่ามีอยู่จริงในปัจจุบันที่สุดแล้ว

ซึ่งมันเป็นการฟอร์มตัวกันขึ้นมาของรูปสังขาร ธาตุปรุงแต่ง การปรุงแต่งของธาตุ...ที่มันสัมปยุตกันขึ้นมา มีอยู่จริงพอจับได้ พอเห็นได้ชัดในระดับสัตว์บุคคลทั่วไป

ไม่ต้องมีสติปัญญามากมายก่ายกอง มันก็สามารถรับรู้ได้ในความเป็นจริงของกายนี้ ปัจจุบันนี้ 

เพราะนั้นเมื่อมันถูกควบคุมไว้ด้วยสติปัญญา มันก็จำเป็นที่จะต้องมาอยู่กับรูปฟอร์มรูปแบบของธาตุกายนี้...อย่างสม่ำเสมอ เป็นอาจิณ

มันก็จะค่อยๆ ซึมซาบ สำเหนียกความฟอร์มตัวขึ้นมาของธาตุกาย คุณลักษณะที่แท้จริงของมัน ของการฟอร์มตัว การรวมตัวกันขึ้นของธาตุ...ที่เรียกกล่าวขานนามกันมาว่า กายบ้าง รูปบ้าง 

นี่ คุณลักษณะที่แท้จริงของกายมันคืออะไรกันแน่ ...มันก็จะค่อยๆ สำเหนียก แยบคายไป ...จิตมันก็อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง บนฐานของกาย ด้วยความไม่รามือ ไม่วางมือ 

เพราะนั้นการภาวนามันจะต้องไม่รามือ ไม่วางมือ ไม่สามารถปล่อยได้ ...ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริง มันปล่อยอะไรไม่ได้นะ มันปล่อยจิตไม่ได้เลย แม้แต่อณูหนึ่ง ช่องว่างเล็กเท่าอณูนึงยังปล่อยไม่ได้เลย 

เวลามันภาวนาไปเรื่อยๆ แล้วมันเข้มข้นขึ้นในศีลสมาธิปัญญา  แม้แต่อณูหนึ่งของจิต ที่มันเป็นช่องว่างรูโหว่ออกไป ข้างหน้าข้างหลัง ที่ใดที่หนึ่ง ที่นอกเหนือจากปัจจุบันไป ...มันต้องอุดรอยโหว่นี้ให้หมด 

สติ...มันจะไปอุด เท่าทันแล้วก็ไปอุดรอยโหว่  จนกายใจมันเต็ม...เต็มกายเต็มรู้อยู่ ไม่มีอะไรสอดแทรกขึ้นมาได้ ไม่มีอะไรมาก้าวล่วง ไม่มีอะไรมาขัดขวาง

เมื่อมันเต็ม...กายมันเต็มในวิถีการครองธาตุ ครองธรรม ครองขันธ์ของมันแล้ว ตามครรลองของธาตุ ตามครรลองของขันธ์แล้ว ...กายที่มันเต็ม มันจะดูเหมือนเป็นความสว่าง 

มันเป็นความสว่างแจ้งชัดเจนในคุณสมบัติของกายที่แท้จริง ...คุณลักษณะของกายที่แท้จริง มันก็สว่าง ตามความเป็นจริงของมันขึ้นมา

ใจก็สว่าง..อยู่ในฐานะรู้ฐานะเห็นเท่านั้น ไม่ใช่ในฐานะที่นึกคิดปรุงแต่งแต่ประการใด ...เหมือนกับใจ มันก็เต็มกายเต็มใจ เต็มอยู่ด้วยศีล เต็มอยู่ด้วยสมาธิ

การรู้การเห็นที่เรียกว่าด้วยศีลที่เต็ม สมาธิที่เต็มนี่  มันก็เกิดปัญญาที่ชัดเจนตามความเป็นจริงโดยไม่บิดพลิ้ว ...กิเลสไม่สามารถจะมาบิดพลิ้วได้

ความเป็นเรา ความเป็นอะไรของเรา...ด้วยความเห็นก็ตาม ความคิดก็ตาม ตำรับตำราที่เคยอ่านมาก็ตาม ...มันไม่สามารถจะมาบิดเบือนความเป็นจริงที่ปรากฏเบื้องหน้ามันได้เลย

จิตมันก็จะค่อยละลาย จางคลาย ...ละลายความเห็นผิดแต่เก่าก่อนที่เคยเชื่อ เคยว่ากันไปอย่างจริงจัง เอาเป็นเอาตาย ...มันก็ค่อยๆ ถูกทำลายไป ด้วยปัญญาที่มันรู้จริงเห็นจริงอยู่เบื้องหน้ามัน

ด้วยการเห็นเท่าที่มันปรากฏจริง เท่าที่มันแสดงอยู่จริง เท่าที่มันกำลังมีกำลังเป็นอยู่จริง ...ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรขานนามว่าอะไรในสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่เบื้องหน้ามัน

ก็เป็นแค่อะไรอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ...นั่นน่ะคือจะเห็นกายในสภาพที่เต็มลักษณะของกายที่แท้จริง..คือเต็มในแง่ของที่มันเป็นไตรลักษณ์อย่างเดียว

มันเป็นอาการของไตรลักษณ์อย่างเดียว เป็นลักษณะของการเกิด เป็นลักษณะของการตั้งอยู่ชั่วคราว ช่วงระยะห้วงเวลาหนึ่ง แล้วก็มีมากขึ้น-น้อยลงไปบ้าง ขึ้น-ลงบ้าง แล้วก็ดับไป

มันก็จะเห็นกายในลักษณะเป็นเช่นนั้นเอง ที่ไม่มีอะไรนอกเหนือจากการเกิด การตั้ง การดับไป 

ซึ่งไม่มีลักษณะที่บ่งบอกชื่อเสียงเรียงนามแต่ประการใด ไม่มีลักษณะบ่งบอกความเป็นสัตว์บุคคล ไม่มีลักษณะบ่งบอกถึงความมีความเป็นในตัวของมันว่าคืออะไร

นั่นน่ะคือมันเข้าไปเห็นธาตุแท้ธรรมแท้ของกาย แบบถึงแก่น...แก่นแท้ของกาย  ซึ่งก็คือความเป็นไตรลักษณ์นั่นเอง...ไม่มีอะไรเลย

แล้วความเป็นไตรลักษณ์มันตั้งอยู่ตรงไหน มันแปรปรวนอยู่ตรงไหน แล้วมันดับไปอยู่ตรงไหน ...มันก็อยู่บนความว่างเปล่า ...มันไม่มีอะไร 

ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นอนัตตาหมด เป็นความไม่มีอะไร...ในลักษณะทั้งที่มันเกิด ทั้งที่มันตั้ง ทั้งที่มันดับไป มันไร้ตัวตนที่แท้จริง

มันก็จะเห็น มันก็จะเข้าใจ คุณลักษณะของกาย ในความถ่องแท้ ...ซึ่งมันไม่รู้หรอกว่ามันเข้าใจว่าลักษณะนี้เรียกว่าไตรลักษณ์หรือไม่ไตรลักษณ์ 

แต่มันเห็นในแง่มุมนั้นน่ะ เห็นในมิติเช่นนั้น ...ซึ่งมันจะเป็นมิติที่มันเห็นโดยที่ปราศจากบัญญัติภาษามารองรับมันเลย

มันก็รู้เห็นแบบว่างๆ ...ว่างจากบัญญัติ ว่างจากสมมุติ ว่างจากความคิดนึกปรุงแต่ง ว่างจากภาษาเขียนภาษาพูดใดๆ สมมุตินามบัญญัตินามใดๆ 

มันก็อยู่กับความเข้าใจในลักษณะที่มันกำลังปรากฏอย่างเข้าอกเข้าใจจริงๆ ในสภาพธรรมที่กำลังดำเนินไปตามครรลองของธาตุขันธ์ รวมไปถึงธาตุโลกธาตุขันธ์

ซึ่งเมื่อใดที่มันเข้าไปเห็นในสภาพกายที่เป็นธาตุขันธ์ ซึ่งปราศจากรูปกายที่ว่าหุ้มธาตุ รูปที่มันมาห่อหุ้มในธรรม ในธาตุ  แล้วมันก็จะไปเห็น..ไม่จำเพาะเพียงธาตุขันธ์ มันก็จะไปเห็นธาตุในโลกธาตุทั้งหมด

ซึ่งมันก็อยู่ในคุณสมบัติคุณลักษณะเดียวกันหมด ไม่ได้แปลกแตกต่างกันเลย ธาตุที่เคยสมมุติแต่เก่าก่อนว่ากาย เคยเรียกขานตามบัญญัติ ว่าชาย ว่าหญิง ชื่อนั้นชื่อนี้ มันก็ไม่ได้แตกต่างกัน ...นี่ มันก็เปิดออก 

ศีลสมาธิปัญญาจริงๆ แล้วเป็นธรรมที่เปิดโลก เปิดขันธ์ ...เปิดโลก จนเป็นหนึ่ง เรียกว่าเป็นหนึ่ง ...จึงเรียกว่าศีลสมาธิปัญญานี่เป็นธรรมที่เปิดโลก เปิดขันธ์ 

ถ้ามันไม่มีศีลสมาธิปัญญา มันจะเปิดขันธ์ไม่ได้ มันจะถูกความไม่รู้นี่ ตีกรอบขันธ์ไว้...ให้มันเป็นส่วนที่แตกต่างกับโลก ไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับโลกได้

มันถูกจำกัดด้วยรูปสัญญา จำกัดด้วยนิมิต สัญญานิมิตต่างๆ นานา แล้วก็เกิดความหมายมั่นจริงจัง เป็นตัวเป็นตนขึ้นมา ...มันก็เลยเกิดการแบ่งแยกระหว่างขันธ์กับโลกว่าเป็นคนละส่วนกัน เป็นคนละอันกัน

แต่เมื่อภาวนาไปในฐานของศีลสมาธิปัญญา ฐานกายฐานรู้ไปเรื่อยๆ ...มันก็จะเข้าไปลบจิต เท่าทันจิต ลบจิต สลายจิต...ที่มันเข้าไปสร้างรูปนิมิตมาห่อเป็นขันธ์ เป็นรูปขันธ์ไว้

ขันธ์มันก็จะเปิด โลกก็จะเปิด ...จนมันเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่แตกต่างกัน ไม่มีใน-ไม่มีนอก ไม่มีสูงกว่า-ต่ำกว่า ไม่มีดีกว่า-เลวกว่า ไม่มีถูกกว่า-ผิดกว่า 

มันก็เป็นธาตุที่ไร้นามไร้บัญญัติในสิ่งต่างๆ ...เป็นธรรมชาติเดียวกัน มีความเกิดเหมือนกัน มีความตั้งเหมือนกัน มีความเป็นไตรลักษณ์เฉกเช่นเดียวกัน ไม่มีผิดแผกแตกต่างในแง่ใดแง่หนึ่งเลย

เมื่อนั้นก็จะคืนสู่ความเป็นอิสระ เบา จากความเข้าไปผูกพันมั่นหมาย ว่านั้นคือนี้ นี้คือนั้น แล้วก็จริงจังตามที่มันมั่นหมายว่านั้นนี้โน้น เป็นตัวนั้น เป็นชื่อนี้ คนนั้นดี-ไม่ดี รูปนามนี้ดี-ไม่ดี มันก็สลายไปหมด

มันก็เป็นอิสระจากความเกาะเกี่ยวด้วยนามบัญญัติ สมมุติบัญญัติต่างๆ ที่มันเกิดจากความเห็นความเชื่อแบบผิดๆ ที่มันสะสมมามากมายก่ายกอง จนดูเหมือนว่าจะละ จะถอน จะวางมันไม่ได้เลย

สำหรับคนที่ไม่ตั้งใจภาวนา หรือว่าภาวนาแค่อ่านแค่คิด มันก็จะมองว่า...ไม่มีช่องทางหนทางที่มันจะถอดถอนได้เลยในความยึดมั่นถือมั่นเช่นนี้ 

เพราะมันยึดมั่นหมดสามโลกธาตุ มันหมายมั่นหมดทุกที่ทุกทางทุกสิ่งทุกอัน ทุกเรื่องราว ...มันจะไม่มีเวลาช่องว่างเว้นเลยจากการที่จิตจะไม่ยึดไม่มั่นไม่ถืออะไรเลย

แต่ถ้าได้ลงมือภาวนาไปตามหลักเกณฑ์ ไตรสิกขา...ศีลสมาธิปัญญา ในมรรคมีองค์แปด ...เมื่อใดอยู่ในกรอบนี้ไว้ มันจะพลอยเห็นลู่ทางเองน่ะ 

ว่ามันจะสามารถถอดถอนออกจากความเห็นผิด ความเข้าใจผิด ความยึดมั่นแบบผิดๆ นี้ได้อย่างไร โดยไม่สงสัย ไม่กังขา ในการปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาเลย

มันจะมีความสงสัยก็แต่ผู้ไม่ปฏิบัติเท่านั้น ...ไม่ไปอ่านไม่ไปคิดแล้วก็รอ แล้วก็ทำแบบเหยาะแหยะ ทำแบบฉาบฉวย ทำแบบผ่านไปที ทำแบบพอเป็นพิธี มันก็จะกลายเป็นของยาก

ดูเหมือนมันยิ่งใหญ่มากมายมหาศาลในกิเลสความยึดมั่นถือมั่น ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นมาในจิต ไม่ว่าอะไรกระทบมาในครรลองตาหูจมูกลิ้น มันก็เป็นตัวเป็นตนเป็นจริงเป็นจังไปหมด

จนดูเหมือนว่าจะพ่ายแพ้ต่ออำนาจนี้ ไม่สามารถจะก้าวข้ามก้าวพ้น...จนถึงขั้นจะทำลายล้างมันได้เลย 

ก็มีแต่ความท้อแท้ ปล่อยปละละเลย ให้มันเป็นไปตามอำนาจของกิเลสพัดพาไปมา ...ด้วยความหลงบ้าง ด้วยความอยากบ้าง ด้วยความไม่อยากบ้าง อยู่ตลอดเวลา

แต่ถ้าได้ลงมือทำแล้ว มันก็จะพอเห็นลู่ทาง...ที่จะเอาชนะ ที่จะก้าวข้ามกิเลสต่างๆ นานาได้ ...มันก็จะเริ่มต้นจากทีละเล็กทีละน้อยไป ค่อยๆ ไป

แต่ไม่วาง ไม่ว่างไม่เว้น ไม่รามือ แล้วก็สม่ำเสมอในการภาวนา ...ไม่ใช่ภาวนาเป็นพวกนักกระโดดค้ำถ่อ ค้ำได้ ถ่อได้ แล้วก็ตก มันก็ไม่ไปไหนน่ะ...จุกแอ้ก


(ต่อแทร็ก 15/6)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น