วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 15/7


พระอาจารย์
15/7 (570602C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
2 มิถุนายน 2557


พระอาจารย์ –  อย่าพยายามขี้เกียจ ปล่อยปละละเลย มันก็เนิ่นช้า ผ่านไป ผ่านมา ผ่านพระพุทธเจ้าองค์นั้นองค์นี้ไปบ้างมาบ้าง ...เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เอาหูไปสุขเอาตาไปทุกข์อยู่อย่างนั้น

ไปอยู่ในสุข ไปแสวงหาสุขหาทุกข์อยู่อย่างนั้นน่ะ ...แต่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับธรรมะ ที่เหล่าพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ เหล่าสงฆ์สาวกแต่ละท่านพร่ำบ่นพร่ำสอน

ท่านเรียกว่าพร่ำบ่นพร่ำสอน บ่นอยู่นั่นน่ะเรื่องศีลสมาธิปัญญา นั่น ครูบาอาจารย์ก็บ่นอยู่เรื่องเดียวซ้ำซาก ...มันก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่น้อมนำไปพิจารณา 

เมื่อไม่น้อมนำไปพิจารณาแล้วก็เอาไปปฏิบัติตาม ...มันก็ทิ้งโอกาสไป ทิ้งโอกาสทางรอด...จากทุกข์ ทางรอดจากขันธ์ ทางรอดจากการก่อร่างสร้างขันธ์ใหม่ไม่จบไม่สิ้น 

นี่คือทางรอด...ออกจากการเกิดมามีขันธ์ ไม่ว่าขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง ขึ้นชื่อว่าขันธ์ ขันธ์ห้าเป็นทุกข์ ภาราหะเว ปัญจักขันทา ...ขึ้นชื่อว่าขันธ์ห้านี่เป็นทุกข์ เป็นภาระ

แล้วไม่จำเพาะขันธ์ห้าเป็นภาระนะ ...ทุกขันธ์ ไม่ว่าจะเป็นขันธ์หนึ่ง สอง สาม หรือขันธ์สี่ก็ตาม ...ขึ้นชื่อว่ามีขันธ์ขึ้นมา เมื่อนั้นน่ะเป็นทุกข์ ...จะไม่มีทุกข์ จะหมดสิ้นทุกข์ก็ต่อเมื่อไม่มีขันธ์ 

เพราะความมีขันธ์ปรากฏขึ้นหมายความว่ามีสองทุกข์อยู่ในนั้น ... หนึ่ง...ทุกข์ในตัวของมันเอง เพราะขันธ์มีสภาพที่แปรปรวน ไม่เที่ยง มีความดับไป คงอยู่ไม่ได้ มีความทนได้ยากในตัวของมันเอง 

นี่คือสภาวะทุกข์ ...เป็นสภาวะที่ทนให้มันเสถียร ให้มันเที่ยง ให้มันมั่นคงในตัวเองไม่ได้ มันทำตัวเองให้เที่ยงไม่ได้ มันมีความสลายอยู่ในตัวของมัน ...เนี่ย เป็นสภาพที่ทนได้ยาก นี่คือทุกข์ในตัวของมันเอง

สอง...เมื่อมีการตั้งขึ้นมาของขันธ์ มันจะต้องมีสิ่งที่มากระทบขันธ์ ไม่ว่าจะเป็นขันธ์ใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นขันธ์กี่ขันธ์ก็ตาม...ที่มากที่สุดก็คือห้า ถ้าน้อยที่สุดก็คือหนึ่ง...หนึ่งนั่นน่ะคืออรูป ...ห้าน่ะคือคน

เพราะนั้นตัวขันธ์ห้านี่ อย่านึกว่าไม่ดีนะ ...มันรวมหมด ขันธ์ห้านี่มันรวมหมด สามโลกธาตุนี่รวมหมด อยู่ในขันธ์ห้านี่  ทุกสภาพ ทุกสภาวะ ทุกธรรมชาติ มันรวม...มันสังเคราะห์ขึ้นมาเป็นขันธ์ห้าหมดเลย

แต่พวกที่มีขันธ์ไม่ครบห้านี่ พวกนี้อาภัพ ถือว่าเป็นอาภัพภพ อาภัพภูมิ ...ก็ว่าสุขบ้างสบายบ้าง ก็ว่าทุกข์บ้างไม่สบายบ้าง แต่จริงๆ น่ะคืออาภัพ ...เพราะมันมีขันธ์แบบไม่สมบูรณ์น่ะ มันไม่ครบอาการ

แต่มันก็ดิ้นรนไขว่คว้ากันจัง ...ตายแล้วขอให้เกิดไปเป็นเทวดาเทวบุตรอะไร อย่างคนแก่คนเฒ่าก็บอกให้นึกถึงบุญอะไรไว้น่ะ ...นั่นน่ะไปอยู่ทำไม ไปเข้าช่องฟรีซเนี่ยนะ 

แบบไปเข้าช่องฟรีซในตู้เย็น จะได้ไม่เน่าไม่เปื่อยนานๆ ...แต่ไฟหมดเมื่อไหร่ก็ยุ่งละมึง ...ก็ต้องสลายตัว สลายตัวแล้วก็เกิดมาเป็นคน นี่ เสียเวลาไปแช่ช่องฟรีซอยู่ 

ก็เหมือนอยู่ในลักษณะทะนุถนอมอาหารไว้ ไม่ให้เน่าและบูด กินเวลานานหน่อย ถึงมันไม่เน่า ...รอไฟหมด ไม่จ่ายค่าไฟก็หมดแล้ว บุญน่ะ เป็นตัวจ่ายค่าไฟ ...เมื่อมันหมดบุญนั้น เนื้อนั้นก็เน่า เน่าก็ต้องทิ้ง

ทิ้งก็มาเกิด มาเสียเวลาพิจารณาธาตุขันธ์อีก เพราะระหว่างที่มันฟรีซ มันไม่ได้ทำอะไรหรอก มันก็มีความทะนงตัว ถือตัวว่ากูไม่เน่าไม่เปื่อย มีสุขดี ไม่เกิดไม่ดับ

มันลืมเกิดลืมดับไปเลย เทวดาอินทร์พรหมนี่ลืมเกิดลืมดับเลยนะ ไม่รู้ มันเหมือนไม่มีอะไรรู้ตัว ...นี่ อำนาจบุญ พลานิสงส์ของบุญ อำนาจกุศล พลานิสงส์ของกุศล

มันก็ปิดบังความเป็นจริงเหมือนกัน ปิดบังไตรลักษณ์เหมือนกัน ...นอกจากปิดบังไตรลักษณ์แล้ว มันยังปิดบังธาตุขันธ์อีก เพราะมันไม่มีธาตุขันธ์ให้พิจารณา

เพราะนั้นอย่าไปปรารถนาเลย เทวดาอินทร์พรหมอะไรนี่ ตายปุ๊บเกิดปั๊บ ถูกคนเลย แล้วก็ทำงานต่อ รีบๆ ทำงานดีกว่า ...ถ้ามันรู้ตัวได้ตั้งแต่เด็กยิ่งดีเลย...ความจำกลับมาเร็วไง 

ถ้ามันได้อย่างงั้นก็ดี แป๊บเดียวสำเร็จ ...เพราะรู้ตัวซะตั้งแต่อ้อนแต่ออก มันก็มีเวลาพิจารณาธาตุของกาย ใช้เวลาในการพิจารณาธาตุกายได้ครบถ้วน

ไอ้นี่เราเสียเวลามาครึ่งอายุ ไม่ได้พิจารณากายมาก่อนเลย หมดเวลาไปแล้ว มันล่วงลับไปแล้ว ...ขันธ์มันล่วงแล้วน่ะ ไปพิจารณาในอดีตไม่ได้ ไปพิจารณาในขันธ์ที่ดับไปแล้วก็ไม่ได้

กายที่ยังเป็นเด็กน่ะมันดับไปแล้วน่ะ มันไปพิจารณาไปนึกๆ น้อมๆ เป็นสัญญา ก็แค่นั้นแหละ มันไม่เห็นกายตามความเป็นจริงหรอก ...มันหมดไปแล้ว เป็นอดีต มันลับไปแล้ว

แล้วพอมาตั้งต้นเริ่ม...ก็เริ่มแบบง่อยเปลี้ยเสียขาอยู่อย่างเนี้ย ล้มๆ ลุกๆ ลุกแล้วก็ยืน ยืนแล้วก็ไม่ยอมเดิน ไอ้เดินแล้วก็ไม่ยอมวิ่ง อะไรอย่างเงี้ย แล้วก็นั่งพักอยู่อย่างเนี้ย ...ขันธ์มันก็ล่วงเลยไปอีก 

ขันธ์ก็ล่วงไปๆๆๆ ล่วงไปทุกวินาที ทุกลมหายใจเข้าและออก ล่วงไปคือหมดไปเลย ...แต่ว่าความรอบรู้ในกาย ความรอบรู้โดยตลอดในองค์กาย ก็ยังไม่รอบ ก็ยังไม่ถ่องแท้ ก็ยังไม่จัดเจน 

ก็ยังไม่ครอบคลุมทุกส่วน ทุกลักษณะอาการใหญ่ย่อย เล็ก  ละเอียด ประณีตในกาย ...เยอะแยะ ยังไม่อะไรในกายที่เดี๋ยวนี้เรายังไม่เห็นอีกเยอะ เป็นความรู้สึกในกายที่เรายังไม่ทันอีกเยอะ

มันได้แค่จำ มันได้แค่คาด ...ยังไม่ใช่ ยังไม่เรียกว่าแจ้งจริง ...มันจะต้องแจ้งด้วยการปรากฏอยู่ซึ่งหน้าจริง แล้วรู้เห็นอยู่ตรงนั้น...ทุกขณะเลย 

นั่นน่ะ กว่าที่มันจะจัดเจน...แล้วก็พอดีเป๊ะๆ ทุกปัจจุบัน...กายกับศีล กายกับใจ กายกับรู้ อย่างนี้ ...มันต้องใช้เวลา แล้วก็ใช้ความตั้งใจ...มากๆ

แต่ถ้ามันทำไปๆ ทำไปเรื่อยๆ ยังไม่ทันแจ้งยังไม่จบกาย ดันตายซะก่อนนะ ...นี่ กำลังตายนี่ อย่าทิ้งกายนะ จับไว้ จับเวทนากายไว้ ...อย่าไปหวังบุญ อย่าไปหวังอานิสงส์ของบุญ 

อย่าไปทำจิตให้ว่าง อย่าทำจิตให้เหนือเวทนา ...เดี๋ยวมันไปอีก ไปแบบไม่มีขันธ์ ไปแบบนู่นน่ะ สุดขอบจักรวาล ...ทีนี้ เรียกก็ไม่ฟังแล้ว เทศน์ปาวๆๆ นี่ มันรับสื่อไม่ได้ แปลความก็ไม่ได้ มันไม่สนอะไรแล้ว 

มันก็ไปเคว้าคว้างอยู่อย่างนั้น มันดูเหมือนขาดจากโลกมนุษย์ ...เนี่ย ดูเหมือนเท่านั้น แต่มันยังไม่ขาด กิเลสมันยังยึดโยงไว้...กิเลสมันยังหมายอยู่ในธาตุขันธ์อย่างนี้


ผู้ถาม –  มันชอบไปจังเลยน่ะอาจารย์ ทำไมมันเป็นอย่างนี้ไม่รู้

พระอาจารย์ –  ก็บอกว่าสันดานไม่ดีที่เคยคุ้นมา เนี่ย เขาเรียกว่ามันมีนิสัยแต่เก่าก่อน มันก็ติด มันคุ้นเคย


ผู้ถาม –  เมื่อกี้มันออกมาได้พักนึง

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ ต้องคอยน้อมคอยกลับ คอยดึงคอยรั้งไว้ด้วยสติ ...เพราะนั้นคำว่าสัมมาสตินี่ คือหมายความว่าอะไร มิจฉาสติคืออะไร ...นี่ ต้องรู้

ถ้าขึ้นชื่อว่าสัมมามันจะต้องน้อมกลับลงมาที่ฐานศีล ฐานปัจจุบันกาย อย่างเนี้ยเรียกว่าสัมมา ...แล้วสัมมาสติเท่านั้นจึงจะเป็นเหตุให้เกิดสัมมาสมาธิ คือจิตตั้งมั่นอยู่ภายใน ...มันจะต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้น

ถ้าเป็นสติในอารมณ์ สติที่ไประลึกรู้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่ขันธ์ไม่ใช่ปัจจุบันกายนี่ ...ทั้งหมดน่ะเรียกว่ามิจฉาหมด ไม่ใช่สัมมาสติ และจะไม่เป็นเหตุให้เกิดสัมมาสมาธิ แต่เป็นเหตุให้เกิดโมหะสมาธิ

ถ้าเป็นโมหะสมาธิ ผลของการรับรู้รับเห็น ผลของสภาวธรรมที่ปรากฏน่ะ ก็จะเป็นปัญญาแบบคิดเอาเอง ปัญญาแบบจอมปลอม เขาเรียกว่าปัญญาแบบมิจฉาปัญญา มิจฉาญาณ

มันก็เกิดการเข้าไปถือครองความรู้ความเห็น สภาวธรรม สภาวธาตุนั้น ว่าละเอียด ว่าดี ว่าสุข ว่าเลิศ ว่าอะไรก็ว่าของมันไป ...นั่นแหละมันอยู่ใต้ร่มเงาของอวิชชา 

มันก็ไปเสวยเป็นภพ มีผู้ครอบครอง มีผู้เข้าไปเสวย ...นี่ เขาเรียกว่าไม่พ้นเงื้อมมือของกิเลส


ผู้ถาม –  มันเห็นตอนที่เป็นโมหะแล้วอาจารย์ ...ก็แล้วพอตอนนี้ มันออกไม่ได้แล้วฮะ คือเราเห็นช้าเกินไป

พระอาจารย์ –  ไม่เป็นไร ก็ขยับเนื้อขยับตัว รู้เนื้อรู้ตัว หายใจเข้าหายใจออก ...กลับมาอยู่บนพื้นฐานหยาบๆ กลับมาลงหยาบ หยาบที่สุด จากละเอียดที่สุดลงมาหยาบที่สุด ...อย่าเสียดาย


ผู้ถาม –  เมื่อกี้เสียงธรรมอาจารย์แทรกเข้ามา แล้วมันถึงวึ้บขึ้นมา ...แล้วมันก็เลยออก ออกมาตั้งมั่น แล้วมันก็จะเห็นว่าโมหะมันหายไป

พระอาจารย์ –  อย่าปล่อยให้มันเนิ่นนาน แค่นั้นเอง ...ถ้านานปึ้บนี่...


ผู้ถาม –  มันจะเพลินเลย

พระอาจารย์ –  มันเหมือนกับตัดกระแสกาย ตัดกระแสศีล ...พวกนี้มันจะตัดกระแสหมดเลย มันจะขาดจากกระแสศีลสมาธิปัญญาเลย

กว่าจะดึงกลับมา กว่าจะน้อมกลับมา กว่าจะระลึกเกิด หรือว่าด้วยนิสสยปัจจโย หรือว่าด้วยสัมมาสติให้เกิดความรู้ตัวว่า...เอ๊อะ ไม่ได้แล้ว ...เนี่ยสัมมาสติ สติแรกเกิด

พอสติแรกเกิดปึ้บนี่ ...อย่ามัวเคว้งคว้างอยู่ อย่ามัวเสียดายอาลัยอาวรณ์กับอะไร ... รีบ รีบ...เหมือนกับให้กายนี่เป็นแสงสว่างนำทางกลับ ..."เฮลโล เอิร์ทๆ" (Hello, Earth) นี่เอิร์ท นี่คือโลก 

นี่โลก เฮลโลกับเอิร์ทไว้ อย่าไปอยู่ในอะไรก็ไม่รู้


ผู้ถาม –  มันไม่ได้อยากไปอยู่ครับอาจารย์ แต่มันชอบไปเอง

พระอาจารย์ – นั่นแหละ ต้องคอยน้อม คอยหยั่ง คอยดึงกลับ ...เนี่ย คือความสว่างกาย ศีลต้องเป็นตัวชี้นำ ศีลเป็นแสงสว่างส่องทาง...ในระดับต้นก่อน

ถ้าไม่อาศัยกายนี้เป็นบาทฐานไว้นี่ ดึงรั้งเหนี่ยวจิตไว้กับกายนี่ ...นั่นแหละ มันจะออกทัวร์ธรรมะแล้ว ออกไปกราบหาครูบาอาจารย์ ที่ไหนก็ไม่รู้ ป่าเขาลำเพาไพร ฟากฟ้าป่าหิมพานต์นั่น

เดี๋ยวก็มาเทศน์มาสอน เดี๋ยวก็มีธรรมะแบบไร้สาย โผล่ขึ้นมาแบบไม่มีที่มาที่ไป ...แบบมึงคือใคร กูยังไม่รู้จักมึงเลยน่ะหือ


ผู้ถาม – (หัวเราะ) แบบไวร์เลส (Wireless) 

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ มันไวไฟ (WiFi) เดี๋ยวนี้ 4 G มาแล้ว ...เนี่ย พอไปเจอภาพนั้น โอ้โห ตื่นตาตื่นใจเลย มันมาจากไหนกันนี่ บางทีมีแค่เสียงนะ เสียงเหมือนใครก็ไม่รู้ ไม่รู้จัก ...นี่ ไปใหญ่แล้ว

เมื่อเช้าก็มีมาคน ประเภทเข้าขั้นหลุดโลกน่ะ ขนาดมาคุยกับเรา เรายังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย มันพูดคุยแต่ฤาษีตาไฟ ท้าวเวสสุวรรณมาสั่งให้ทำงานช่วยบ้านเมือง ...(เล่าเรื่องคนมาคุยเรื่องหลุดโลก)

เอ๊ มันอยู่โลกไหนวะนี่ มันคุยไม่รู้เรื่องจริงๆ นะ ...แล้วลักษณะนี้เราไม่พูดนะ พูดไม่ได้ มันจะไม่ฟังใครเลย ...คือ ลักษณะนี้ถ้าเป็นลักษณะที่เป็นพระนี่นะท่านเรียกว่าวิปลาสแล้ว 


ผู้ถาม –  อย่างนี้คือปรับไม่ได้แล้วใช่ไหมอาจารย์

พระอาจารย์ –  โอ๋ย พระพุทธเจ้าบอกว่าม้าถ้าพยศมากนี่ ท่านบอกฆ่าทิ้งเลย


ผู้ถาม –  คือปล่อยทิ้งไปเลย

พระอาจารย์ –  มันไม่รู้จะสอนยังไงแล้ว มันไม่สามารถฟังได้น่ะ 

นั่นแหละ แกก็มาว่าของแกไป คือแกก็แบบมาเมตตาสงเคราะห์ให้เรารู้อะไรบ้าง จะได้เปิดหูเปิดตาซะหน่อย ในฐานะที่เป็นพระแล้วพอฟังได้รู้เรื่อง

แต่ฟังแล้วเหนื่อย เหนื่อยแทน เหนื่อย...เหนื่อยในความที่จะต้องวนอยู่แบบหาทางออกไม่ได้ ...มันยังแยกไม่ออกเลยระหว่างโลกความเป็นจริง กับมิติที่เป็นลักษณะที่เป็นรูปในจิต


ผู้ถาม –  ขนาดสมมุติบัญญัติด้วยกันเองยังไม่รู้เลยหรือครับ

พระอาจารย์ –  ใช่ ...เห็นมั้ยว่าถ้ามันไปเห็น แล้วไปหลงขนาดนั้นนี่ เรียกว่าไม่รู้จะดึงออกยังไงแล้ว 

ก็ต้องรอจนกว่าบุญบารมีของตัวมันเอง ที่มันจะพาให้ประสบทุกข์แล้วก็กลับมายืนอยู่บนโลกของความเป็นจริงก่อน


ผู้ถาม –  อ๋อ ต้องให้ทุกข์

พระอาจารย์ –  ทุกข์เท่านั้นน่ะที่มันจะดึงให้กลับมาอยู่ในความเป็นจริง ...แล้วถึงตรงนั้นน่ะ จึงจะเห็นว่า...ต่อให้อะไรเหล่านั้นทั้งหมดที่ว่ามาปรากฏ...ก็ช่วยไม่ได้ ...มาช่วยยกเวทนาออกก็ไม่ได้ 

นั่นแหละ มันถึงจะได้สติ


ผู้ถาม –  เพราะไอ้เจ็บนี่ของจริง

พระอาจารย์ –  ของจริงอยู่ตรงนี้


ผู้ถาม –  ไอ้ตรงนั้นไม่ใช่

พระอาจารย์ –  แล้วจะรู้เอาเองต่อไปอีกหลายๆ ภพ หลายๆ ชาติว่า...เนี้ย คือถูกหลอก จิตหลอกหมดเลย ไอ้ที่ว่ามานี่ บอกให้ มันเป็นความปรุงของจิตล้วนๆ 

ซึ่งนี่ก็เป็นนิสัยที่มันสะสมสร้างสมมาทางด้านนี้มา ...คืออยู่ดีๆ มันก็เกิดขึ้นมาเอง มันไม่ได้เกิดจากการนั่งสมาธิภาวนาอะไรเลย


ผู้ถาม –  อย่างนี้ยิ่งกว่า มันก็หลงคิดเตลิดเปิดเปิงไปหมด

พระอาจารย์ – ยุ่งเลย มันมาหาเรานี่ก็เริ่มยุ่งแล้ว เริ่มชักพาความยุ่งมา … แต่ไม่ต้องกลัวหรอก สภาพธรรมคือสภาพธรรม มันเป็นกรด ...หมายความว่าเข้าไม่ถึงหรอก

เหมือนกำแพงแก้ว ...ศีลสมาธิปัญญาของผู้ปฏิบัติมันเหมือนเป็นกำแพงเจ็ดชั้น ...สิ่งใดที่มันนอกเหนือจากธรรม ไม่สามารถล่วงเกินเข้ามา เข้ามาก็ไม่หนัก ไม่อยู่ ...อยู่ไม่ได้

นี่คืออานุภาพของศีลสมาธิปัญญา ...อะไรที่มันนอกเหนือศีลสมาธิปัญญาแบบสุดลิ่มทิ่มประตูนี่ มันไม่มีทางหรอกที่มันจะมาข้องแวะเกาะเกี่ยวได้นะ


(ต่อแทร็ก 15/8)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น