วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 15/3


พระอาจารย์
15/3 (570601C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
1 มิถุนายน 2557


พระอาจารย์ –  เพราะนั้นถ้ามันมีการเรียนรู้กับวิบากขันธ์ วิบากกายนี้ไป ด้วยการยอมรับ...เข้าใจไป...ยอมรับไป

เมื่อถึงภาวะที่มันบีบคั้นจนวันตายน่ะ จนถึงแก่กาลกริยา หรือการตายของขันธ์นี่ ...จะเป็นเรื่องชิลๆ (chill out) ...เรื่องของมึง ไม่ใช่เรื่องของกู เรื่องของมัน เรื่องของกาย ไม่ใช่เรื่องของเรา

จะไปเดือดร้อนอะไรกับมัน ...ก็เหมือนเสื้อผ้า เก่าแล้ว จะใส่เสื้อผ้าเปื่อยๆ ผุๆ เหรอ ...ทิ้งก็ทิ้ง มันก็ต้องทิ้งน่ะ มันเก่าแล้ว มันเปื่อยแล้วเสื้อผ้า จะไปปะไปชุนมันไม่ไหวแล้ว 

ก็ เออ เข้าใจแล้ว ...ก็เป็นธุระของมัน ไม่ใช่ธุระของเรา เป็นธุระของขันธ์ เป็นธุระของกรรมและวิบากของขันธ์  มันมีที่จบอย่างนี้...เป็นธรรมดา ไม่ได้ผิดแล้วก็ไม่ได้ถูก แต่เป็นธรรมดาตามความเป็นจริง

เนี่ย เออ พอมองดู มองเห็น แล้วก็อยู่กับความตาย รับรู้กับความตายด้วยความปกติ...ได้บ้าง ... คือถ้าปกติที่สุดก็พระอรหันต์แล้ว นี่ อย่างพวกเรามันต้องมีกระดิกบ้างแหละจิต เข้าใจมั้ย

แต่ว่าก็ไม่กระเหี้ยนกระหือแบบรับไม่ได้ ทุรนทุรายแบบเร่าร้อน ...นี่ ฝึกเข้าไว้ ต้องฝึกอยู่กับตัว อยู่กับกาย ...เพราะไอ้ที่ว่ามันไม่มีอะไรๆ นี่ เต็มไปหมดเลย ทุกขเวทนาล้วนๆ 

ตอนนี้มันกำลังเพิ่มลิมิท แต่ว่ามันแอบไว้ ยังไม่ปรากฏอย่างชัดเจนเท่านั้น ...แต่มันมีความเสื่อม ความสึกหรออยู่ในทุกระบบตลอดเวลา

ไอ้การเจริญขึ้นมา แล้วชำรุดมาก็ซ่อมแซมส่วนที่ชำรุด มันจะไม่ได้แล้ว...คือมันจะเป็นอัตราที่ลง น้อยลง ตามอายุขัย ...เพราะนั้นการเสื่อมหรือสึกหรอ มันก็จะมากขึ้น

นี่โดยธรรมชาติของขันธ์จะเป็นอย่างนั้น ...มันจะไปกินยาบำรุง วิตามิน A-Z  กินเข้าไปมันก็ไม่แก้ได้ ...มันเป็นระบบที่จะต้องเป็นไปอย่างนี้

เพราะนั้นไอ้ตัวแพทย์หรือพยาบาลนี่เป็นแค่ผู้เยียวยา บรรเทา ...เข้าใจคำว่าบรรเทามั้ย ไม่ใช่สามารถจะมาพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าทำให้หายเลย...ไม่ได้ เป็นไปไม่ได้

มันหายได้ชั่วคราวน่ะ แล้วก็รักษาไปตามอาการ พอเยียวยาไม่ให้เกิดทุกขเวทนาในมันมากขึ้น จนทำให้กีดขวางต่อการดำรงชีวิตดำเนินหน้าที่การงานเท่านั้นเอง

แต่ที่ว่าหาย...ก็ไม่ได้หายไปไหน ...มันก็ไปเก็บสะสม พอกพูน ทับถมเวทนา ลึกๆ ลึกๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ รอวันแตกตัวออกมาเท่านั้นเอง

พอมันแตกตัว มันก็จะแตกในส่วนใดส่วนหนึ่ง อวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง คือมันยังไม่แตกทุกอวัยวะ มันจะเสื่อมไปตามวิบากกรรม อำนาจกรรม

มันจะส่งให้ตับไปก่อน ไตไปก่อน กระเพาะไปก่อน สมองไปทีหลัง หรือสมองไปก่อน เฉพาะตับไตยังอยู่ ...นี่ เลือกไม่ได้น่ะ หมอก็แก้ไม่ได้ถึงตอนนั้น

ต่อให้เป็นหมอชีวก ก็ยังแก้ไม่ได้เลยหมอชีวกนี่ทุกข์นะ ที่รักษาพระพุทธเจ้าไม่หายน่ะ ...ท่านถือว่าไม่มีอะไรที่รักษาแล้วไม่หาย แล้วไม่รู้ว่าโรคท่านมายังไงเป็นยังไง มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว

จนพระพุทธเจ้าต้องเตือนหมอชีวกว่า อย่าไปคิดมาก มันเป็นอย่างนี้แหละ อย่าไปเพียรคร่ำเคร่งอยู่กับการรักษา ...นี่เลยไปไม่ถึงไหน ได้แค่โสดาบันน่ะ

เพราะติดข้องน่ะ ติดข้องในการเยียวยาพระพุทธเจ้าให้ได้ คือเสียดาย อยากให้ท่านอายุยืนต่อไปน่ะ ...ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านก็บอกแล้วมันแก้ไม่ได้ หมอชีวกจะไปคิดทำไม จะไปหาทางแก้เราทำไม 

แก้จิตน่ะแก้ได้ แก้กายน่ะแก้ไม่ได้ ...จิตน่ะแก้ได้ แก้ให้มันสงบ แก้ให้มันดี แก้ให้มันรู้เห็นตรงต่อสภาพที่แท้จริง ยอมรับกับทุกสิ่งตามความเป็นจริงน่ะแก้ได้ 

แต่แก้ขันธ์ แก้ความดำรงของขันธ์ แก้ความเป็นไปของโลก แก้ไตรลักษณ์ ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อันนี้แก้ไม่ได้ วางมือรามือซะ อย่าไปเอาเรามาแก้ อย่าคิดว่าเราแก้ได้ อย่างนี้ต่างหากที่พระพุทธเจ้าสอน

เพราะนั้นบทธรรมแรกที่ภาวนาก็คือ...รู้ตัวให้เป็น  เมื่อใดที่เราดำรงความรู้ตัวอยู่ เมื่อนั้นเรียกว่าภาวนา ไม่ว่าจะอยู่ในอาการไหน ท่าทางใด สถานที่ไหน เรียกว่าการภาวนาเกิดขึ้นตรงนั้นแล้ว

เมื่อใดที่เราอยู่ด้วยความไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย ต่อให้จะอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิเพชรสองชั้น หลับตาปี๋ สงบอย่างล้ำลึก ก็ไม่เรียกว่าภาวนา เพราะสงบมันยังไม่รู้ตัวเลยว่าสงบ

สงบแล้วก็ไม่มีตัวให้รู้อยู่ ก็เรียกว่าไม่มีศีลสมาธิปัญญาอยู่ตรงนั้น ...ต่อให้สงบขนาดไหน ก็ออกนอกศีลสมาธิปัญญา ไม่ได้อยู่ในศีลสมาธิปัญญา

แต่ถ้าสงบในระดับที่ตัวยังนั่งแล้วรู้ว่ายังนั่งอยู่นี่ จะสงบขนาดไหนสงบไปเถอะ แต่ตัวนั่งยังมีอยู่ ยังเห็นอยู่ ยังรู้อยู่ ...นี่เรียกว่ายังมีศีลสมาธิปัญญา

นี่ให้จำเลยว่า อย่าไปอยู่ในสภาวะใดที่คิดว่า...อยู่ในสภาพธรรมสภาวธรรมนั้น...แล้วดี แล้วใช่นี่ ...ถ้าตรวจสอบดูแล้วมันไม่อยู่ในศีลสมาธิปัญญา แปลว่าอย่าเสียดายธรรมนั้นๆ

อย่าเสียดายอาวรณ์ในธรรมนั้น ทิ้งได้...ทิ้ง วางได้...วาง ออกได้...ออก ... แลกกับความขยับลุกขึ้นแล้วมีตัวนี่ปรากฏ แลกเลย กล้าแลกเลย

ประเภทสะลึมสะลือ แล้วก็ค่อยหรี่ๆๆ วิบ...ตึ้บ มืด หรือวิบแล้วสว่าง ...มีสองวิบนะ ไม่รู้พวกเราเคยฝึกกันรึเปล่า มีสองวิบ ...หรี่ๆๆ ดำปึ้ก แล้วก็ได้ยินเสียง คร่อกๆ ...กับไอ้อีกวิบนึง สว่างจ้า

สองวิบนี่...กายหายหมด บอกให้เลย ยังไงก็หาย ...สว่างก็หาย มืดก็หาย ดีก็หาย ชั่วก็หาย บอกให้

แต่ถ้ากลางๆ ไว้ เออ มันไม่สว่าง มันไม่มืดตึ้บ แต่กายนี่ดำรงอยู่ ...นี่ศีลอยู่นะ ศีลเป็นเครื่องยืนยันว่าขันธ์นี้ยังดำรงอยู่นะ ปัจจุบันนี้ยังมีนะ ความเป็นจริงยังมีอยู่นะ ...จิตยังเกาะอยู่กับความเป็นจริงอยู่นะ 

ไม่ใช่ไปอยู่ในโลกของมายาแห่งจิต โลกแห่งความปรุงแต่งของจิต นั่นน่ะเขาเรียกว่าสุดโลก ข้ามโลกไปแล้ว เป็นรูปโลก เป็นอรูปโลกแล้ว ...ไกลไปแล้ว เกินไปแล้ว 

มันหลงไปไกลกว่ากายขันธ์ เกินกว่ากายมนุษย์ โลกมนุษย์ มันข้ามโลกมนุษย์ไปแล้ว ...เพราะบางทีมันมีอารมณ์แฝงอยู่ในนั้นไง ปีติบ้าง สบายบ้าง เออ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เฉยๆ บ้าง อย่างเนี้ย ...มันเพลิน

พอกลับมาทำความรู้ตัวแล้วแลก...ต้องแลกน่ะ ...เพราะพอรู้ตัวแล้วพวกนี้ต้องเสื่อมหายหมดน่ะ คล้ายๆ กับว่ามันจะต้องกระจายสลายไปเลยน่ะ ...กล้าแลกมั้ยเล่า ยอมแลกมั้ยเล่า

ถ้าไม่กล้าแลกก็ต้องแลก ไม่ยอมแลกก็ต้องยอม ...เพราะว่านี่มันไม่ตกอยู่ใต้อำนาจความปรุงแต่งนะ จะไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของความปรุงแต่ง ...จะอยู่กับความเป็นจริงล้วนๆ เท่านั้นนะ

เพราะนั้นความเป็นจริงนี่ มันไม่มีอะไรซับซ้อนหรอก  แล้วมันไม่มีอะไรเพอร์เฟ็ค ไม่มีอะไรประหลาดมหัศจรรย์พิสดารเลย  มันเป็นอย่างที่เราบอก...เป็นก้อนๆ แท่งๆ

ถ้าเป็นแขนก็เป็นก้านยาวๆ ความรู้สึกเป็นก้านๆ ที่อยู่อย่างนี้ กระทบอยู่อย่างนี้ ...เป็นธรรมดาอย่างยิ่งนะ ไม่ประหลาดล้ำลึกอะไร ...เป็นความรู้สึกแค่นั้น

แล้วอารมณ์ที่รู้กับมันก็เป็นอารมณ์ธรรมดา ...ไม่มีปีติแบบลุ่มลึกสุขุมคัมภีรภาพ สว่างสะอาดบริสุทธิ์แบบบ้าบอคอแตกอย่างที่เคยได้ยินเขาเล่ากันมา

อย่างว่า "ฉันไปที่นั่น หนูไปที่นี่ ฉันภาวนาอย่างนั้นอย่างนี้ จิตฉันนี่อย่างงี้ๆๆๆ" หูย กูละงง มันไปไหนของมัน ...นี่ เกินไปแล้ว มันเกินไปแล้ว แล้วยังไม่รู้อีกว่านั้นคือส่วนเกิน ไม่พอดี

ก็ นั่ง...รู้ว่านั่ง ลมพัดเย็นสบาย รู้ว่าเย็นสบาย ...เนี่ย พอดีกัน รู้พอดีกับสิ่งที่มันปรากฏอยู่จริง อารมณ์ก็จะเป็นกลางๆ ไม่สุขแล้วก็ไม่ทุกข์มากเกินไป ธรรมดาๆ พื้นๆ

ตรงนี้...ต้องทรงมัชฌิมานี้ไว้ ...นี่คือมัชฌิมาปฏิปทา ดำรงความเป็นกลาง ดำรงอยู่ในเส้นทางสายกลาง อยู่อย่างนี้ 

เพราะนั้นตัวศีลสมาธิปัญญามันจะเป็นตัวที่ประคับประคองมัชฌิมาปฏิปทา ดำรงชีวิตอยู่ในทางสายกลาง ...ไม่เกินนี้ ไม่ต่ำกว่านี้ และก็ไม่ขาดไม่หายจากนี้ แค่นั้นเอง

นี่คือนัยยะสำคัญของการภาวนา ...ถ้าแม่นยำในหลักนี้ จดจำหลักนี้ไว้...ที่ไหนก็เป็นที่ภาวนา เวลาไหนก็เป็นเวลาภาวนา เหตุการณ์ไหนก็เป็นที่สร้างการภาวนาขึ้นได้

ไม่ต้องไปจำลองสถานการณ์ใหม่ ไม่ต้องไปจำลองสถานที่ใหม่ขึ้นมา ...และความเป็นไป เป็นมรรคเป็นผล ก็เกิดขึ้นนับเป็นทุกปัจจุบันไป

ไม่ต้องรอชาติหน้า ไม่ต้องรอเดือนหน้า ไม่ต้องรอปีหน้า ไม่ต้องรออีกหลายๆ ชาติข้างหน้า ซึ่งไม่รู้จะได้รึเปล่า และบอกให้เลยว่าไม่ได้...ได้แต่รอ

รอจนเหงือกแห้ง รอจนหนวดหงอกแล้วก็ตายไป เกิดใหม่รอใหม่ นั่งภาวนารอวันรอคืน รอผล รอธรรม รอมรรครอผล รอนิพพาน รอให้ถูกจริตกับวิธีการปฏิบัติสักข้อนึงเถอะวะ กูจะได้รวด พรวดถึง

นี่ มักง่าย หน้าด้าน เอาแต่ฟาสต์ฟู้ด เข้าใจคำว่าฟาสต์ฟู้ดมั้ย มาม่าต้มน้ำเดือด ๓ นาที แช่ กิน ชง อิ่ม ...นั่น เอาง่ายๆ กันอย่างงั้น มันก็ได้อะไรแบบลวกๆ กินเอา สุกๆ ดิบๆ น่ะ

ธรรมมันไม่สมบูรณ์ เป็นธรรมที่กระพร่องกระแพร่ง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เดี๋ยวเจริญเดี๋ยวเสื่อม ...ซึ่งส่วนมากก็เสื่อมมากกว่าเจริญ

เดี๋ยวก็เสื่อมอีกแล้ว โหย กว่าจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ กว่าจะฟื้นจิตขึ้นมาได้ตั้งหลายวันหลายเดือนทำอย่างจริงจัง ...บทจะหายนี่หาย เสื่อมลงไปเลย แล้วเสื่อมยาวเลยนะ

นั่งทีไรก็หงุดหงิด นั่งทีไรก็ฟุ้งซ่าน นั่งทีไรก็เมื่อย นั่งทีไรก็ทนไม่ไหว ไม่เห็นมันลงสักที ไม่เห็นลงอย่างที่เคยลง ...นั่น วนเวียนอยู่แค่นั้น ไม่ต้องทำมาหากินอะไรแล้ว

แล้วก็ตายไปกับรอ เมื่อไหร่มันจะลงตัว หือ เมื่อไหร่จิตมันจะลงให้สักที จะได้อิ่มเอิบซาบซ่าน ...เนี่ย เขาเรียกว่าพวกยาเสพติด มันต้องการสารเอ็นโดรฟิน

สมาธินี่มันหลั่งสารนะ จิตสงบนี่ มันจะไปบีบต่อมใต้สมองให้หลั่งฮอร์โมนไร้ท่อ สารเอนโดรฟิน มันทำให้เกิดความปีติสุข ปีติสุข ในกาย มันหลั่งสารออกมา แค่นั้นเอง

แล้วไงล่ะ พอหมดอิทธิพล อานิสงส์ของสารที่มันหลั่ง ก็หายน่ะ ใช่มั้ย นี่เรียนสรีรศาสตร์มาก็รู้กันอยู่  ...แล้วจะทำยังไง กระบวนการยังไงที่จะไปบังคับให้ต่อมไร้ท่อนี้มันหลั่งสารออกมา

นั่นแหละเขาเรียกว่าสมถะ ไม่ใช่สมาธิ ...แล้วมันไม่ได้ทำให้เกิดปัญญงปัญญาอะไรเลย ความรู้ความเห็นตามความเป็นจริงอะไร ไม่เกี่ยวเลย ...คือกูจะเอาแต่เสพยา อัพยา ถ้ากูอัพได้ทั้งวันกูก็เอา ใช่มั้ย 

มันกลายเป็นสมาธิแบบอัพยา แล้วก็พอใจกับอารมณ์นั้นมาก ...แล้วใครได้นาน ใครได้ถึง ใครได้มากกว่า หมายความว่าไอ้นี่มันไปซื้อจากร้านเต็มเลย ไม่ผ่านมือสอง มันถึงออกฤทธิ์แรงไง แค่นั้นเอง

แล้วก็ไปติดอารมณ์ในสมาธิซึ่งไม่ได้เรียกว่าสมาธิด้วยซ้ำ ...มันเรียกว่ามิจฉาสมาธิ หรือว่าโมหะสมาธิ 

นี่ไม่ได้เป็นไปเพื่อให้เกิดปัญญาญาณ แต่เป็นไปเพื่อให้หลงติดในอารมณ์ ที่ดี ที่ชอบ แล้วก็ที่ใช่...ตามประสา..."เรา" ...ไม่ใช่ตามประสาพระพุทธเจ้าสอนนะ แต่เป็นประสา “เรา”

"เรา" นี่แหละ โคตรเก่งเลย...เรานี่แหละ เก่งทุกเรื่อง รู้ไปหมด...แต่ไม่ถูกสักเรื่องเลย  รู้ทั่วเลย ตลอด ถามอะไรรู้หมด...แต่ไม่จริง รู้ไม่จริง ... แต่รู้มากนะ รู้ไกล รู้กว้าง รู้รอบ 

แต่ไม่รู้ตัว ...ไม่รู้อยู่อย่างเดียวว่ากูนั่ง ไม่รู้ว่านั่งอยู่ตรงไหน ไม่รู้ว่านั่งคืออะไร ไม่รู้ว่าอะไรคือนั่ง ไม่รู้ความเป็นจริงของนั่งมันคืออะไรแค่ไหน ไม่รู้ว่าที่สุดของการนั่งคืออะไร

นอกนั้นกูรู้หมด ...แต่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้...ในการเกิดและการตาย ในการเหนือเกิดและการเหนือตาย 

แต่อาจจะได้ประโยชน์ในทางโลก ชื่อเสียง...มีคนยกย่องนบนอบในความรอบรู้หยั่งรู้เรื่องไปทั่ว ถามอะไรตอบได้สารพัด ช่างเก่งไปหมด ...แต่ว่าประโยชน์ในทางธรรม ผลในทางธรรมไม่ได้ 

การเกิดการตายน้อยลงมั้ย...ไม่น้อย มากขึ้นด้วยซ้ำ ...เพราะว่าญาติเยอะ มันกลายเป็นญาติเยอะขึ้น คนรู้จักเยอะขึ้น ติดข้องพัวพันกับคนนั้นคนนี้เป็นโยงใยมากขึ้น ก็มีลูกหนี้เจ้าหนี้เพิ่มขึ้นโดยใช่เหตุ

การที่จะอยู่ตัวคนเดียว อยู่ผู้เดียว ก็อยู่ได้ยาก เพราะญาติมันเยอะ และเรื่องของญาติก็เยอะ และญาติของญาติก็เยอะ ...เนี่ย มันไปกันใหญ่


(ต่อแทร็ก 15/4)



                                                                                                                     

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น