วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 15/1 (1)



พระอาจารย์
15/1 (570601A)
1 มิถุนายน 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ :  แทร็กนี้แบ่งช่วงการโพสต์เป็น 2 ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  อย่าปฏิบัติแบบลักลั่น สะเปะสะปะ ซำเหมา ลูบๆ คลำๆ เพ้อเจ้อในธรรม 

การที่ย่ำเหยียบอยู่บนฐานปัจจุบันกายนี่ ...เหยียบลงไป หยั่งลงไป รู้ลงไป ดูมันลงไป โง่ๆ ซื่อๆ ตรงๆ เช่น เดี๋ยวนี้มันแสดงอาการอะไร ...รู้ ดู เห็นมัน

ไม่ต้องคิด ไม่ต้องเปรียบเปรย ไม่ต้องมีความเห็น ไม่ต้องยกตำรามาอ้างอิงเปรียบเทียบ ไม่ต้องยกคำพูดคนนั้นคนนี้มาเป็นตรรกะหรือเหตุและผล

มันปรากฏยังไง รู้อย่างงั้น ...มันตึงรู้ว่าตึง มันแน่นรู้ว่าแน่น มันแข็งรู้ว่าแข็ง มันเป็นก้อนรู้ว่าเป็นก้อน มันทึบๆ ก็รู้ว่าทึบๆ มันขยับเขยื้อนวูบวาบๆ ก็รู้ว่าขยับเขยื้อนวูบวาบ

นี่ รู้ตรงๆ โง่ๆ ไม่ต้องแปลความหมาย ไม่ต้องหาความหมายในมัน ...รู้เฉยๆ ดูมันไป ด้วยความอดทนและต่อเนื่อง... ภาษาเหนือว่าอย่าไปปาก แปลว่าอย่าไปพูดกับมัน

อย่าไปพูดกับมัน ...มันไม่พูดกับเรา เราก็อย่าไปพูดกับมัน  เฉยๆ ไม่ต้องไปแปลความมาก ...หุบปากซะ จิตน่ะ ที่มันช่างพูด ช่างเปรียบ ช่างหาเหตุและผลน่ะ เงียบซะบ้าง ...รู้เฉยๆ ดูเฉยๆ โง่ๆ 

ไม่ต้องแปลความหมายๆ ...มันรู้มากเกินน่ะ ไอ้รู้มากน่ะเขาเรียกว่ามันรู้เกิน ...เกินอะไรรู้มั้ย ...เกินจริง มันรู้เกินจริง ...ก็จริงๆ เขาปรากฏอย่างนี้ เออ จะไปอะไรกับมันนักหนา เกินไปน่ะ รู้เฉยๆ

การปรากฏการแสดงขึ้นของกายเดี๋ยวนี้ขณะนี้ ไม่มีภาษานะ ไม่มีเพศ ใช่มั้ย ไม่มีสวย ไม่มีไม่สวยใช่มั้ย ...ในแข็งในอ่อน ในตึงในแน่นน่ะ มีมั้ยสวย ดูดิ๊ 

มันเป็นอาการอะไรก็ไม่รู้อย่างนึงนะ ไม่มีความหมายในตัวของมันเลย ไม่ได้บ่งบอกสัญลักษณ์ว่าชายหรือหญิงเลย แล้วก็ไม่ได้บ่งบอกความเป็นเจ้าของด้วย ใช่มั้ย

มันมีอะโพสโตรฟี่เอส ('s) ติดมามั้ย ...แล้วยังมาหน้าด้านบอกว่าเป็น “เรา” ได้ตรงไหน ใช่มั้ย ...อันนี้จริงนะ ไอ้ที่เราบอกว่าเป็น “เรา” นี่ หน้าด้านบอกเองนะ

แต่ความจริงเขาไม่ได้เป็นใครของใครใช่มั้ย เป็นอาการที่ตั้งอยู่เฉยๆ ...เดี๋ยวนี้ก็ยังมี เดี๋ยวนี้เขาก็ยังแสดงอยู่  เห็นมั้ยว่ากายเขาแสดงความเป็นจริงอยู่ทุกเมื่อ ตลอดเวลา ไม่เคยว่างไม่เคยเว้น ไม่เคยปิดบังเลย

เพียงแต่มนุษย์ที่โง่เขลานี่ไม่ใส่ใจ ไม่มาดูรู้เห็นมันตรงๆ ตามสภาพที่แท้จริงของเขา ด้วยความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ...เนี่ย คือนัยยะของการรักษาศีลที่เป็นเหตุให้เกิดสมาธิและปัญญา 

นี่เราพูดถึงปัญญาแล้วนะ ปัญญาที่เรียกว่ารู้เห็นตามความเป็นจริง ...จริงยังไง ...จริงอย่างที่เขาแสดง จริงอย่างที่เขากำลังปรากฏ 

ไม่ใช่จริงตามตำรา ไม่ใช่จริงตามที่คนเขาพูด เขาเล่า เขากล่าว เขาอ้าง เป็น once upon a time in the west and the east…ไม่ใช่ ...แต่มันจริงตามสภาพที่กำลังปรากฏอยู่ ณ ขณะปัจจุบัน

เพราะนั้นถ้าดูกายสภาพอย่างนี้...ที่มันเป็นกายศีลกายธรรมดานี่ อย่างที่เขากำลังปรากฏ อย่างที่เขากำลังแสดงนี่ 

นัยยะสำคัญของกายนี้ ...ไม่มีอาการใดอาการหนึ่ง ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง บ่งบอกถึงความเป็นเราเลย ใช่มั้ย หรือบ่งบอกถึงความเป็นชายหรือหญิงเลย ...ใช่มั้ย

นี้คือความเป็นจริง และความเป็นจริงนี้ไม่ใช่เป็นความเป็นจริงที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยอำนาจของใคร ...แต่มันเป็นความเป็นจริงโดยความเป็นจริงของมันเอง

ไอ้ความเป็นจริงที่เป็นความเป็นจริงของมันเองนี่...ท่านเรียกว่าอะไร ท่านเรียกว่าสัจธรรม ...นี้คือความเป็นจริงโดยสัจจะ ไม่ใช่ความเป็นจริงที่แอบแฝง ไม่ใช่ความเป็นจริงที่มีภาษามาบิดเบือน 

ไม่ใช่ความเป็นจริงที่เกิดจากความเห็นใดความเห็นหนึ่ง ความเชื่อใดความเชื่อหนึ่ง ...แต่เป็นความเป็นจริงที่เขากำลังปรากฏด้วยตัวของเขาเอง เพราะฉะนั้นความเป็นจริงนี้ จึงเป็นหนึ่งหรือเป็นเอก

หนึ่งหรือเอกของความเป็นจริงนี้ หมายความว่าไม่มีอะไรมาลบล้างได้ ไม่ว่าใคร ...ต่อให้เป็นพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่สามารถมาลบล้างความเป็นจริงนี้ได้ และความเป็นจริงนี้มีอยู่ทั่วทุกตัวคน

มันน่าเสียดายมั้ย ที่เราอยู่กับความเป็นจริง แต่ไม่เคยค้นหาความเป็นจริงเลย ...กลับไปหาความเป็นจริงที่อื่น กลับไปหาความเป็นจริงกับบุคคลอื่น 

กลับไปหาความเป็นจริงในโลก ในเหตุการณ์ในโลก  กลับไปหาความเป็นจริงในอารมณ์ ในเรื่องราวของอารมณ์  กลับไปหาความจริงในอดีตอนาคต ...ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่มีอยู่จริง

หรือแม้กระทั่งมาตั้งหน้าภาวนาแล้ว ก็ยังไปนั่งภาวนาหาความเป็นจริงข้างหน้า ... "เมื่อไหร่จะถึงหนอ เมื่อไหร่จะดีขึ้นสักวันหนึ่งน้อ เมื่อไหร่จะหลุดพ้นน้อ"  

เมื่อไหร่ล่ะ ...ไม่มี มันไม่ถึงหรอก ... เพราะมันไม่มี ...ไม่มีอะไร ...มันไม่มีความจริงในนั้น คิดเอาเองๆ นี่มันแค่คิดไป แค่หมายไป 

ในความคิดความหมายไปน่ะ...มันไม่มีความจริงแฝงอยู่ในนั้นหรอก  มันมีแต่มายา เป็นมายาของจิต เหมือนพยับแดด พยับหมอก ...มันไม่มีจริง

พอนั่งหลับตาแล้วก็ฝันหวานแล้ว ...วันนี้ทำสักครึ่งชั่วโมงจะได้ประมาณเท่าไหร่ ในปริมาณความสงบที่จะได้ ...เตรียมแล้วนะ กำลังสร้างโปรเจ็คท์ แล้วกำลังเรียนแบบโมเดล ...นี่ เป็นพวกสถาปนึก

แล้วถ้าได้ใกล้เคียงกับโมเดลที่มันตั้งไว้ ก็..."เอ๊อะ วันนี้นั่งดีโว้ย" หรือไม่ดีเต็มร้อย ก็...เออ ค่อนข้างดี ถึงจะไม่ตรงกับโมเดล ...นี่ นักภาวนาแบบคนล่าฝัน รู้จักมั้ย

แต่ถ้าอย่างพระพุทธเจ้า อย่างที่เราสอน นี่เรียกว่านักภาวนาล่าความจริง ...เอ้า จะล่าความจริง หรือจะล่าฝันล่ะ

เพราะนั้นศีลเนี่ย จึงเป็นนัยยะที่สำคัญที่สุด ...เป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นตัวตนแท้จริงของขันธ์ห้า หนึ่ง  ...เป็นเครื่องหมายที่แสดงความเป็นจริงของปัจจุบัน หนึ่ง  

ไม่มีอะไรจริงกว่านี้แล้ว บอกให้ ที่เขากำลังแสดงอยู่นี่ ไม่มีอะไรจริงกว่านี้แล้ว เขาแสดงอยู่จริงนะ ...แต่พวกเรายังไม่รู้จริงน่ะ ยังไม่รู้จริง กับสิ่งที่มีอยู่จริง กับสิ่งที่เป็นอยู่จริง 

ปัญหาคือพวกเรายังไม่รู้กับมันจริงๆ ยังไม่รู้จักมัน ยังไม่เข้าใจมันจริงๆ ยังไม่เชื่อ ยังไม่ยอมรับมันจริงๆ เท่านั้นเอง ...ก็เลยต้องมาก้มหน้าก้มตาภาวนาอยู่นี่ เพื่อจะได้รู้จักมันจริงๆ ให้มากกว่าที่เราบอก 

แล้วก็แค่ที่จิตเข้าไปหยั่งแค่ชั่วงูแลบลิ้น นี่แพล้บๆ แพล้บๆ ...รู้แค่นี้เหรอๆ “เรา” ในจิตมันก็จะบอกว่า “กูไม่เชื่ออ่ะ” หือ "กูยังไม่เชื่อว่ามันไม่เป็นเรา กูยังไม่ลบล้างหรอก" ... ลึกๆ ยังไงก็ “เรา” น่ะ  ใช่มั้ย

เห็นมั้ย มันไม่พอ มันไม่พอที่จะไปลบล้างความเห็นผิด ซึ่งมันแนบแน่นติดตราตรึงใจอยู่ข้างใน ลึกๆ ยิ่งกว่าลึกอีก ...เพราะฉะนั้น การที่จะไปเข้าไปลบล้าง เจือจาง มันต้องยิ่ง

นี่ ยังไม่ต้องพูดถึงลบล้างหรอก เราพูดถึงว่าเจือจาง ให้มันเจือจางก่อน ...ก็คือต้องทำบ่อยๆ สม่ำเสมอ ไม่อ้างกาลไม่อ้างเวลา ไม่อ้างสถานที่ ไม่อ้างอุปสรรคในโลก

ตอนไหนตอนนั้น มีสติขึ้น รู้เลย วกกลับ ยูเทิร์น (U-turn) ...วกปุ๊บ ยูเทิร์น ยูเทิร์น ณ โค้งแรก ไม่โค้งหน้านะ ไม่ปล่อยให้มันเคลื่อนไป ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากแค่ไหน ...กายก็อยู่ตรงนี้แล้ว

โยมสอนหนังสือใช่มั้ย ...จะเป็นยืนอ่านยืนสอนเล็คเชอร์ก็ตาม รู้ตรงนั้นก็หยั่งลงที่กายตรงนั้น ...จะได้ขณะหนึ่ง สองขณะ หลายขณะหรือได้เป็นนาที หรือไม่ถึง ...ก็ให้รู้ไว้

คือไม่ต้องไปโอดครวญว่าได้น้อยได้มาก ขอให้รู้ไว้เถอะ ...คือสร้างนิสัยของการมีสติ อยู่ด้วยการมีสติ ทำด้วยการมีสติ พูดด้วยการมีสติ ต้องสร้างนิสัยนี้ขึ้นมาในชีวิต ต้องแทรกอยู่ในชีวิต

ต้องแทรกอยู่ในการดำรงชีวิตให้ได้ ...ไม่ใช่มาแบ่งว่า นี้เป็นเวลาภาวนา นี้เป็นเวลาของกิเลส ของการที่จะปล่อยเนื้อปล่อยตัว ...นี่ ไม่ได้ทันกินหรอก ไม่สามารถก้าวข้ามกิเลสความไม่รู้ได้เลย

การภาวนา การเจริญสติ มันจะต้องอยู่ในชีวิตเลย อยู่ในชีวิตจริงเลย ...ไม่ใช่อยู่ที่ท่าทางนั่งหลับหูหลับตาอยู่แค่นี้ หรือแค่เดินจงกรมงุดๆ อยู่บนทางจงกรมเท่านั้น ...ไม่ได้ ไม่พอ

แล้วเราจะใช้ชีวิตในการเดินจงกรมเหรอ เราจะใช้ชีวิตตลอดชีวิตด้วยการนั่งสมาธิเหรอ หือ มันทำได้รึเปล่า ...ไม่ได้ มันจะมาขึ้นกับรูปแบบไม่ได้ ...มันขึ้นอยู่กับปัจจุบัน

การภาวนาขึ้นอยู่กับปัจจุบัน ... สถานที่ภาวนาคือที่ไหน...ก็คือที่นี้  เวลาภาวนาคือเวลาไหน...ก็คือเวลานี้  แล้วบทภาวนาอยู่ที่ไหน...ก็คือกายนี้

ดูซิ จิตมันจะเถียงยังไงฮึ มันจะเถียงตรงไหนว่าภาวนาไม่ได้ ...ยกคำกล่าวอ้างนี้ทิ้งเลย สลัดออกเวลามันว่า...เอ๊อะ รอก่อน ...แน่ะๆ มึงมาอีกแล้วนะๆ ...ก็ให้ทันอย่างนี้ แล้วอย่าไปฟังมัน

ก็ภาวนาไปตรงนั้นน่ะ มันก็ไม่ได้ขัดแย้งกับหน้าที่การงาน เข้าใจมั้ย ...อย่างกำลังสอนหนังสือ พอรู้ตัวว่ากำลังยืน รู้สึกที่ขากำลังเหยียบพื้นนี่ หือ มันทำให้การเล็คเชอร์นี่สะดุดหรือไง

แล้วการเอื้อมมือ การเคลื่อนการไหว ทำไมมันจะรู้ไม่ได้รึไง หรือสอนควบคู่กันไปไม่ได้หรือไง หรือทำหน้าที่การงานขับรถขับรา ..นี่ มันไม่ขัดแย้งกับการดำรงชีวิตได้เลย

แต่ถ้านั่งหลับตาในที่ทำงานนี่ มันก็คงจะโดนแน่ๆ ล่ะ ใช่มั้ย อารมณ์ไม่ดี ไปนั่งหลับตา ทำจิตให้สงบ ไอ้อย่างนี้ ลูกศิษย์ก็... จารย์ๆๆ ...อาจารย์กำลังเฝ้าเทวทัตอยู่ ...นี่ มันขัด ถ้าอย่างนี้มันขัด

หรือไปเดินจงกรมอยู่ในสำนักงานอย่างนี้ มันผิดนะนั่น มันถูกกล่าวหาเลยแหละ ...เพราะถึงภาวนาในรูปแบบก็ดี แต่มันต้องมีความเป็นส่วนตัว แล้วก็ใช้ชีวิตในส่วนตัวเท่านั้น ถึงจะอยู่ในรูปแบบได้

แต่ในรูปแบบก็ไม่พอ ...มันจะต้องเป็นทุกลมหายใจเข้าออก ไม่เลือกเวลา ...สติต้องไม่เลือกเวลา จิตจะต้องอยู่กับเนื้อกับตัวให้ได้ในทุกสถานการณ์ ทั้งที่เป็นสุข และทั้งที่ขณะกำลังเป็นทุกข์

ไม่ว่ามันจะเผลอล่องลอยไปมากหรือจมลึกไปในห้วงอารมณ์ใดอย่างแรงก็ตาม ...เมื่อมีสติรู้แล้วต้องถอน ต้องถอยถอนจากอารมณ์นั้นมาอยู่ในอารมณ์นี้ เข้าใจมั้ย

กายคืออารมณ์นี้ ...สุขทุกข์คืออารมณ์นั้น ที่มันดำดิ่งลงไป วกวนลงไป ดึงดูด ดูดกลืนลงไป ...เมื่อรู้แล้วนี่ อย่ายอม ...รู้แล้วอย่ายอมอยู่ใต้อารมณ์นั้นอีก 

ดึง ...ให้มันอยู่เหนืออารมณ์มาอยู่กับกายนี้ให้ได้ ...ได้มากได้น้อยเอาไว้ก่อน


(ต่อแทร็ก 15/1  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น