วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 15/8 (1)


พระอาจารย์
15/8 (570602D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
2 มิถุนายน 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ :  แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น 2 ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  ถึงบอกว่า ติดเนื้อติดตัว ติดรูปติดบัญญัติ นี่ ก็พอแรงแล้ว ...จะละออก จะแยกแยะออกจากความเป็นจริง นี่ก็ปางตายแล้ว ...หลายชาติแล้ว

ต้องบำเพ็ญมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว กว่าที่มันจะมาแยก...ว่านี้คือกายธาตุ นี้คือกายเรา คนละกายกันกว่าที่มันจะแยกระหว่างธาตุกับเรา นี่ มันคนละส่วนกัน

ให้เห็นว่ากายคือกาย...ไม่ใช่เรา  เราคือเรา...ไม่ใช่กาย นี่ ...เพราะโดยธรรมชาติของปุถุจิต มันจะรวมระหว่าง “กาย” กับ “เรา” นี่เป็นเนื้อเดียวกัน โดยที่ไม่มีรอยแยกรอยแบ่งได้เลย

เหมือนกับเป็นภาพ...ภาพที่ไม่มีรอยต่อ แล้วก็เป็นเรื่องเดียวกันหมด เข้าใจมั้ย นี่ ...มันจะกลืนกันเป็นเรื่องเดียวกันหมดเลย

แต่เมื่อใดที่ผู้ปฏิบัติมารู้จักศีลสมาธิปัญญาโดยแท้จริง แล้วปฏิบัติอยู่ในศีลสมาธิปัญญา  มันจะเห็นว่าไอ้รูปภาพที่มันเห็น...ที่เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นผืนเดียวกันน่ะ ...มันเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ 

มันจะมีรอยแยก รอยที่ว่ามาเชื่อมกัน...มาเชื่อมกันเท่านั้น แต่ไม่ใช่เนื้อเดียวกัน ... นั่นแหละศีลสมาธิปัญญานี่มันจะให้เห็นรอยนี้ก่อน แล้วเมื่ออยู่...โดยใช้กำลังของศีลสมาธิปัญญา มันก็คอยแยก

ซึ่งมันจะแยกๆ แยกแล้วมันก็มาติด แยก-ติดๆๆ อย่างนั้น ก็แยกๆ แล้วมันก็ค่อยห่างๆ ...พอแยกห่างออกมาปั๊บนี่ มันจะเห็นว่าอันไหนจริง อันไหนไม่จริง อันไหนเป็นความเท็จ อันไหนเป็นความจริง

ก็จะเห็นว่าความเท็จคือ "เรา" ...เพราะว่ามันมาจากอะไรก็ไม่รู้ มันมาจากไม่มีที่มาต้นสายปลายเหตุใดๆ เลย นะ มันเป็นความปรุงแต่งแบบเลื่อนลอยขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้ 

เป็นความเกิดๆ ดับๆ ไร้สภาพ หาสภาพที่แท้จริงของมันไม่ได้เลย นะ ...ไม่มีอยู่จริงด้วยซ้ำ

แต่ไอ้ตัวกายนี่ มันเป็นของจริง มันปรากฏอย่างเนี้ย  ถึงแม้จะอยู่ในลักษณะแปรปรวนเปลี่ยนแปลงเกิดดับ แต่มันมีหน้าตาของความเป็นจริงของมันอยู่ ...นี่ ศีลสมาธิปัญญามันเป็นตัวแบ่งแยกออก

แต่ว่าไอ้เชื้อนี่มันยังมีไม่หายนะ มันก็จะดึงให้มาประสานกัน ...โมหะ แล้วก็กิเลสภายในคืออาสวะ กามสวะ ภวาสวะ ทิฏฐิสวะ ...พวกนี้มันเป็นอยู่ในมโนสัญเจตนา 

มันจะคอยสมานให้เป็นเนื้อเดียวอยู่ตลอดด้วยอำนาจของอาสวะล้วนๆ เลย  ถ้าไม่มีศีลสมาธิปัญญาหรือมัชฌิมาปฏิปทานี่เป็นตัวขวางกั้นไว้ หรือเป็นตัวแยก คอยแยกออก 

เพราะนั้นตัวศีลสมาธิปัญญาในเบื้องต้น ในระดับแรก มันจะแยกอะไร...คือแยกกายกับใจก่อน แยกกายกับใจออกมาเป็นสองสิ่ง...ที่มันเป็นคนละส่วนกันก่อน 

แล้วจากนั้นมันก็ทำความถ่องแท้ในตัวกาย...แล้วก็จะแยกความรู้สึกที่เป็นกายเรา...กับกาย ออกจากกัน

ไอ้ความรู้สึกที่เป็นเรา กายเรา นี่คือแค่ความรู้สึก...ที่มันเป็นความเห็น ความจำ ที่มันเป็นความเชื่อผสมกัน มันเกิดเป็นความรู้สึกว่าเป็นเราขึ้น ...นี่มันรวมกัน

คือความรู้สึกของเราหรือสักกายนี่ คือความรู้สึกของความปรุงแต่งมันรวมขึ้นมาเป็นเรา เป็นความรู้สึกของเรา 

มันหลายองค์ประกอบนะที่มันรวมกันขึ้นมาเป็นเรา ...ทั้งสัญญา ทั้งภาษา ทั้งสมมุติ ทั้งอดีต ทั้งอนาคต ทั้งความเห็น นั่น มันจะรวมขึ้นมา...เป็น "เรา" ซะอย่างงั้นน่ะ 

แล้วจากนั้นไป ก็เอาศีลสมาธิปัญญาคอยคั่น คั่นไว้ๆๆ ระหว่างกายจริงกับเรา กายจริงกับเรา ให้มันคนละส่วนๆ ...แล้วจากนั้นมันจะเห็นเรานี่ สภาพเรานี่ มันจะเริ่มสั่นคลอน จะเริ่มสั่นคลอนในตัวของมันเอง


ผู้ถาม –  กายก็ยังปกติ

พระอาจารย์ –  กายเขาก็ยังอยู่อย่างนั้น หมุนไป เคลื่อนมา ร้อนมั่งไหวมั่ง อะไรไป ...กายเขาก็ยืนหน้าเดียวของเขาอยู่อย่างนี้ แต่ตัวนี้..."เรา"..มันจะเริ่มสลาย


ผู้ถาม –  เริ่มไม่มีจิต

พระอาจารย์ –  ไม่มี ...เพราะจิตมันรวม จิตมันรวมรู้รวมเห็นอยู่ 

รวมรู้รวมเห็นหมายความว่า ไอ้กระแสที่มันส่งไปปรุงขึ้นมาเป็นความรู้สึกของเรามันไม่มี ..เพราะนั้นความเสถียรในความรู้สึกเป็นเรา มันเริ่มไม่เสถียรขึ้นไปเรื่อยๆ

แต่ไอ้ตัวที่จะมาเสถียรแทนคือตัวนี้ (เสียงสัมผัสกาย) กาย...กับตัวรู้ จะเสถียรขึ้นมาแทนที่ อย่างเนี้ย นี่คือศีลสมาธิปัญญา ...ก็ต้องการให้อยู่แค่นี้ ทำแค่นี้


ผู้ถาม –  แล้วนี่ เห็นมาอย่างนี้แหละอาจารย์ แล้วเดี๋ยวพอช่วงที่ศีลสมาธิปัญญาอ่อน ไอ้ตัวเราก็กลับมาเที่ยงอีกแล้ว

พระอาจารย์ –  พอศีลสมาธิปัญญาอ่อนปุ๊บ มันจะกลืนกินหมดเลย "เรา" นี่มันจะกลืนกินทั้งกายทั้งรู้ ทั้งความคิดทั้งความเห็น ทั้งหมด คละเคล้ารวมกันเรียกว่า "เรา" โดยรวมเลย

แล้วทุกอย่างก็เป็นไปด้วย "เรา" หมดเลย ไม่ได้เป็นไปด้วยขันธ์ แต่เป็นไปด้วยเราหมดเลย ...นี่ เขาเรียกว่ากิเลสมันห่อหุ้ม อวิชชามันกลืนพื้นที่ของขันธ์หมดเลย มันคลุมหมด

แล้วก็เหมารวมว่าทั้งหมดนี่เรียกว่าเราแล้ว ไม่ต้องแยกอะไรแล้ว ...เสร็จ แล้วก็สำเร็จหน้าที่การงานของกิเลสแล้ว แล้วก็อยู่ใต้อำนาจของเราหมด ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของขันธ์แล้ว

แต่มันจะอยู่ใต้อำนาจของเรา ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของธรรม ...มันอยู่ใต้อำนาจของเรา แล้วเราจะไปจัดการยังไงต่อโลกต่อขันธ์ นีี อีกเรื่องนึง ...เห็นมั้ย ยิ่งไปใหญ่เลย ถ้าเอาเราเป็นตัวชี้นำ

แต่ถ้าเอาศีลสมาธิปัญญาชี้นำ มันก็ไม่ได้เป็นไปด้วยอำนาจของเรา ..แต่เป็นไปด้วยอำนาจของความรู้จริงเห็นจริง...ทั้งขันธ์และโลก 

ก็ไม่ได้เข้าไปครอบครองโลก ครอบครองขันธ์ และก็ไม่ได้เข้าไปจัดการขันธ์ จัดการโลก ...ไอ้ตัวที่เข้าไปจัดการขันธ์จัดการโลก...คือเรา ...ถ้าไม่มีเรา มันก็ไม่มีใครไปจัดการขันธ์และโลก 

มันก็อยู่ด้วยศีลสมาธิปัญญา ด้วยความเป็นกลาง ด้วยความรู้อยู่เห็นอยู่ ...ด้วยความที่เป็นแค่ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้สังเกต ผู้เท่าทัน เป็นผู้ติดตาม เป็นพวกคอยสอบทาน เป็นพวกคอยทบทวน อยู่อย่างนั้นน่ะ 

กับทุกสิ่งที่มันจะพร้อมเสมอที่จะเป็นเรากับทุกที่ ทุกสถาน ทุกกาล และทุกเมื่อ ...เพราะนัั้นมันจึงจะต้องอยู่ในสภาพที่ตั้งรับตั้งรู้อยู่อย่างนั้น...เพื่อไล่จับ 

เนี่ย คอยจับไอ้ตัวเรานี่...ที่มันจะมาหมาย และจะมายึด และจะมีอำนาจเหนือปัจจุบันนี้ เหนือขันธ์นี้ เหนือความเห็น เหนือการเห็น เหนือการได้ยิน เหนือการฟัง เหนือความคิด

ถ้าศีลสมาธิไม่ทันเมื่อไหร่ มันจะเข้าไปอยู่เหนือการเห็น พอเหนือการเห็นปุ๊บ...เป็นเราเห็น  พอเราเห็นแล้วปุ๊บ...มันจะมีอารมณ์ของเราเห็นเกิดขึ้น เป็นผู้เสวยเลย

นี่ เรียกว่าเราเหนือขันธ์แล้ว เราเหนือการเห็น เราเหนือศีลสมาธิปัญญาแล้ว กิเลสเหนือศีลสมาธิปัญญา มันก็ตีกินหมด ...แล้วมันเป็นของคุ้นเคยน่ะ ไอ้สภาพที่เราเหนือศีลสมาธิปัญญานี่

มันคุ้นเคยกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน นี่ ไม่ต้องลำบากยากเย็นในการทำเลย มันจะทำด้วยความคุ้นเคย เป็นสัญชาติญาณเลย เหมือนเป็นสัญชาติญาณ เหมือนเป็นเรื่องที่ไม่ผิดปกติใดๆ เลย

แล้วตรงข้าม...มันกลับเห็นว่าการที่กลับมารู้ตัวนี่...ผิดปกติ ... การคอยรู้คอยเห็นว่าไม่ใช่เรา แค่รู้ว่ากำลังรู้กำลังเห็น นี่ มันกลับว่าการที่อยู่ในลักษณะนี้เหมือนผิดปกติ

แต่การที่ปล่อยให้มันเป็น...เราเห็น เรารู้ เราได้ยิน เราคิด เรานึก เรามีอารมณ์ตามที่เห็นตามที่ได้ยินนี่ เป็นเรื่องที่ธรรมดา ไม่ผิด ...นี่ มันกลับหัวกลับหางกันอยู่อย่างนี้

มันก็เลยเกิดสภาวะกิเลสทับถม ...ยิ่งปล่อยไปอย่างนี้ กิเลสมันก็สร้างอารมณ์ทับถม  ไม่จริงก็จริง  จริงเท่านี้ก็จะจริงมากขึ้นไปเรื่อยๆ  ยิ่งคิดยิ่งจริงๆๆ ยิ่งมีอารมณ์ในความคิดเข้าไปใส่ยิ่งเอาใหญ่เลย

จริงจังจนน้ำหูน้ำตาไหล จริงจังจนตาแดงตาเดือดเลือดพล่านไปหมด ...เพราะว่ายิ่งอยู่ในอารมณ์นั้น ยิ่งจริงจังขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่เที่ยงก็เที่ยงแล้ว มันรู้สึกว่าจริง

ก็ทนอยู่ไม่ได้แล้ว ต้องไปทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว เพราะมันรู้สึกว่าเราจะต้องโดนแน่ๆ เพราะเราจะต้องเจอแน่ๆ ...เนี่ย ฝันกลายเป็นความจริงขึ้นมาซะอย่างนั้น

มันถึงเร่าร้อนกันแบบไม่มีบันยะบันยัง มันถึงเดือดร้อนกันไม่มีคำว่าว่างเว้น มันถึงอึดอัดคับข้องอยู่ตลอดเวลา ...เพราะว่าไม่อยู่ด้วยศีลสมาธิปัญญา และไม่รู้จักศีลสมาธิปัญญา

นี่สำหรับบางคนแล้วไม่รู้จักศีลสมาธิปัญญา จึงไม่รู้จะเอาศีลสมาธิปัญญามาใช้ยังไง ...ถ้าไม่ได้ผ่านการฟัง ไม่ได้ผ่านการอบรม ไม่ได้ผ่านการฝึก 

มันจะไม่รู้เลยว่าเอาศีลสมาธิปัญญามาใช้กับกิเลสยังไง จะเอาศีลสมาธิปัญญามาใช้กับการดำรงชีวิตอย่างไร จะเอาศีลสมาธิปัญญามาอยู่ในวิถีการดำรงชีวิตอย่างไร

มันไม่ใช่แค่เอาศีลสมาธิปัญญามาใช้ตอนอยู่วัด ไม่ใช่เอาศีลสมาธิปัญญามาใช้ตอนเดินจงกรมนั่งสมาธิ ...ไอ้นี่ก็ยังไม่เป็น ยังไม่ถึงศีลสมาธิปัญญา ยังไม่รู้จักศีลสมาธิปัญญาที่แท้จริงด้วยซ้ำ

เนี่ย ก็เลยเอามาใช้ในชีวิตไม่เป็น ใช้ไม่ได้ ...มันจึงยังแบ่งอยู่ว่า นี่ภาคปฏิบัติ นี่ภาคโลก นี่ภาคอาชีพการงาน นี่ภาคครอบครัว จะปฏิบัติไม่ได้ เดี๋ยวมันจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ...เนี่ย มันเข้าใจกันอย่างนี้


มันเลยเกิดภาวะลักลั่นกันไปมาอยู่อย่างนี้ แล้วก็มีแต่ความเคลือบแคลงสงสัยในธรรมอยู่ตลอดเวลา...ว่าทำไมปฏิบัติแล้วมันมาใช้ผลไม่ได้เลย ทำไมทุกข์มันละไม่ได้ วางไม่ได้ 

ปฏิบัติแล้วทำไมยังออกจากตัวเราไม่ได้ ทำไมยังออกจากความยึดมั่นถือมั่นไม่ได้  ทำไมการภาวนาเป็นลักษณะติดๆ ดับๆ เดี๋ยวได้..เดี๋ยวไม่ได้ เดี๋ยวเข้าใจ...เดี๋ยวไม่เข้าใจ อย่างเนี้ย


(ต่อแทร็ก 15/8  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น