วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 15/6 (1)


พระอาจารย์
15/6 (570602B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
2 มิถุนายน 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ :  แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เดินไปเรื่อยๆ ไม่หยุด  ต้องเดินไปเรื่อยๆ ไม่หยุดเดินบนทาง...ทางสายกลางนี่แหละ เดินบนความรู้ตัวนี่แหละ เดินอยู่กับความรู้ตัวนี่แหละ

นั่งก็อยู่กับรู้ตัว เดินก็อยู่กับรู้ตัว ไปไหนมาไหน ก็อยู่บนเส้นทางแห่งความรู้ตัว นั่นแหละ เดินอยู่บนมรรค เดินอยู่บนศีลสมาธิปัญญา เดินอยู่บนมัชฌิมาปฏิปทา

เดินไปด้วยความพอดี ไม่ว่าทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร   ก็ทำ พูด คิด ด้วยความรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอด มากบ้างน้อยบ้างก็อย่าทิ้ง ...คอยมองคอยหยั่งไว้

การหมุน การหัน การหยิบ การจับ การยกมือ การวางมือ ให้มันจับได้ทุกรายละเอียด ...โดยไม่ไปสนใจที่จะไปรู้ที่อื่น ไม่สนใจที่จะหาธรรมอื่นมาเป็นเครื่องรู้

ก็มีความมุ่งมั่นอยู่บนทางสายศีลสมาธิปัญญา โดยไม่ไปแวะเวียนที่อื่น ไม่ปล่อยให้จิตมันไปค้นไปหาธรรมอื่น ข้างหน้าข้างหลัง ละเอียดประณีตอะไรก็ตาม

ก็ละความอยากนั้นๆ ละความกระสัน ใคร่...ในการจะได้มีได้เป็นอะไรเบื้องหน้าข้างหน้าต่อไป ...ก็ไม่เอา ก็ยืนอยู่บนเส้นทางของความรู้ตัว...ในศีล

นั่งก็รู้ ยืนก็รู้ หมุนหันก็รู้ เย็นร้อนก็รู้ หนักเบาก็รู้ ลึกก็รู้ ตื้นก็รู้ ขยับก็รู้  รู้อยู่ในฐานของกายตลอด ...จนจิตมันไม่หนี ไม่หายไปไหน  จนจิตน่ะมันไม่ไปก่อเรื่องก่อราวที่ไหน

จนจิตมันสงบหยุดอยู่ ตั้งมั่นเป็นกลางอยู่บนฐานของกาย บนฐานของปัจจุบัน ...มันก็จะเพาะบ่มญาณ ปัญญาญาณ ทัสสนะ ด้วยความแจ่มชัดแจ่มใส

นี่ มันจะเห็นอย่างชัดเจน...ในความปรากฏอยู่จริงของกาย อย่างที่มันปรากฏ เท่าที่มันปรากฏ ...เป็นพื้นฐานของปัญญาในขันธ์เบื้องต้น

ซึ่งขันธ์เบื้องต้นคือกายนี่ เป็นขันธ์ที่หยาบที่สุด ... แต่ก็เป็นขันธ์ที่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายนี่ติดข้องที่สุด... มากกว่าส่วนอื่นเลย

ถ้ามันไม่มาติดกายนี้มากกว่าส่วนอื่นแล้วนี่ ยังงั้ยยังไงมันก็ไม่มาเกิดเป็นคน ...ที่มันเกิดเป็นคนแสดงว่ามันยังติดข้องในความเป็นกายนี้อยู่ มันยังติดข้องในความเป็นสุขที่ได้จากกายนี้ 

มันติดความสุขที่จะได้เสวยจากการไปกระทำ พูด คิดอะไรโดยอาศัยกายนี้อยู่ ...มันจึงมาก่อร่างสร้างขันธ์ขึ้นมาเป็นขันธ์ห้า เป็นคน เป็นรูปลักษณะของคนขึ้นมา

เพราะฉะนั้น ถึงมันเป็นขันธ์หยาบก็จริง แต่มันเป็นขันธ์หยาบที่ทุกคนติดมากที่สุด ...ถ้ามันไม่ติดกายมากขนาดนี้ มันก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพวกที่ไม่มีกายแล้ว

ดังนั้นมันจะต้องมาแก้ในขันธ์หยาบที่มันติดมากที่สุด แรงที่สุด ให้ได้ก่อน  

ถ้ามันแก้ความติดข้องในกายไม่ได้ แก้ความหมายมั่นในกายไม่ได้ มองไม่เห็นความเป็นจริงของกายจนถึงที่สุดแล้วนี่ ...มันจะไปเรียนรู้ในขันธ์ส่วนอื่นที่มันละเอียดประณีตกว่ากายนี้ไม่ได้

ถึงได้ก็ได้แบบฉาบฉวย ไม่เข้าใจอะไร ได้ก็ได้ในสถานะที่เป็นความรู้เป็นความเห็นของเรา...ใต้ร่มเงาของเรานั่นน่ะ  มันไม่ใช่เป็นโดยธรรม โดยศีล โดยสมาธิ โดยปัญญา

แต่มันเป็นโดยเราเห็นเรารู้ เราเข้าไปทำความแจ้งในสภาพนั้นๆ ในส่วนละเอียดต่างๆ นานา ...ในเมื่อมันอยู่ใต้ร่มเงาของอวิชชาหรือเรา ก็เลยไม่ใช่เป็นโดยธรรม โดยศีลสมาธิปัญญา โดยองค์มรรคเลย

เมื่อใดที่มันทำความแจ้งชัดในกาย จนกว่าจะละจากความหมายมั่นในกายนี้เป็นเราไปแล้วนี่ ... การเรียนรู้ธรรมเบื้องสูง คือขันธ์ส่วนกลางส่วนละเอียดต่อไป

มันก็จะเป็นการเรียนรู้ เข้าใจ ละวาง โดยปราศจากเรา ...เป็นเรื่องของธรรมะ สอนความเป็นจริง ให้จิตรู้เห็นความเป็นจริงแล้วก็วาง โดยไม่มีใครเข้าไปถือครองในการวางนั้นๆ

มันก็รู้ไปวางไปโดยเปล่าๆ นั่นแหละ มันไม่มีใครวาง มันไม่มีใครได้รับผลแห่งการวางหรอก ...เมื่อมันทำลายความเป็นกายเราได้ในระดับนั้นแล้วนี่ มันก็ไม่มีใครเป็นผู้รู้เห็นธรรมนั้น

มีแต่จิตมีแต่ใจเป็นผู้รู้เห็นธรรม...ไม่ใช่ "เรา" แล้ว ...นั่นคือมันอยู่ใต้ร่มเงาของศีลสมาธิปัญญา ใต้ร่มเงาของศาสนา ใต้ร่มเงาของพุทธะ ธรรมะ สังฆะ ...ไม่ใช่ใต้ร่มเงาของกิเลส

ถ้าภาวนาลัดขั้นตอน ผิดขั้นตอนเมื่อไหร่ สภาพธรรม สภาวะการรู้การเห็นในธรรม  มันจะมีเราเป็นผู้รู้ผู้เห็นในธรรมอยู่ตลอดเวลา ...แล้วมันจะเกิดมานะในส่วนละเอียดขึ้นมา

เป็นเจ้าเข้าเจ้าของ หวงแหนในธรรม ครอบครองในธรรมนั้นๆ เปรียบเทียบในธรรมกับผู้อื่นด้วย ...ไปๆ มาๆ สุดท้ายก็หนีไม่พ้นความยึดมั่นถือมั่นเหมือนเดิมนั่นแหละ

แต่มันยึดมั่นถือมั่นในส่วนที่ละเอียดมาทดแทนส่วนที่หยาบ ...ทั้งๆ ที่ว่าส่วนที่หยาบมันก็ยังละไม่ได้  แต่มันก็เอาส่วนละเอียดมาเป็นเครื่องทดแทน

โดยเข้าใจว่า เนี้ย เป็นธรรมอันสูงส่ง ดีเลิศประเสริฐศรี เป็นธรรมที่เหนือมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนทั่วไป ...มันก็เลยเข้าใจเอาเองว่ามันเป็นอริยะอริแยะบ้าบอคอแตกอะไรของมันไป

จนกลายเป็นอรหันต์ดิบ อรหันต์สุกๆ ดิบๆ อรหันต์แบบซกเล็กลาบเลือด แบบไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ กินเข้าไปก็ขี้แตกขี้ไหล ท้องเสีย คัดท้องจนลุท้อง ...เหม็น ไม่หอม

ศีลสมาธิปัญญาสิหอม...ทวนลม  ไม่ต้องป่าวประกาศออกโทรโข่ง ติดคัทเอาท์ตามสี่แยกสามแยก เขาก็รู้ เทวดาก็รู้ อยู่ที่ไหนก็รู้ ...เพราะมันหอมทวนลมไปนั่น 

มันก็ไม่ต้องป่าวประกาศเสียค่าโปรโมชั่นจัดอีเว็นท์กาล่าดินเนอร์  เปิดตัวแบบอลังการงานสร้าง อะไรประมาณนั้น แบบดังชั่วข้ามคืน โอ้ โคตรดัง แล้วก็ปั้ก...ร่วง  ร่วงไม่ร่วงเปล่า เสือกไปทับหัวคนตายอีก

เหมือนตะไล บั้งไฟน่ะ ขึ้นไปแล้วดังสนั่นหวั่นไหวเลิศหรูอลังการ แล้วก็ร่วงมาบ้านเรือนพังวินาศสันตะโร ไฟไหม้เป็นหมู่บ้าน ...เรียกว่าดังไม่จริง มันดังแบบพลุ ดังแบบตะไล ดังแบบบั้งไฟ ไฟพะเนียง

พอมันหมดแล้วก็ร่วง...กลับมากลายเป็นเชื้อไฟที่มันไหม้ลุกลามในจิตใจมนุษย์ทั่วไปเขา นี่ มันมีหลายท่าน หลายองค์ หลายคน ที่แสดงตัวอย่างให้เห็นๆ ...ก็ดูเอา

บางองค์...ลูกศิษย์บานเลย พะเรอเกวียน ลูกศิษย์ก็ยืนยันรับรองว่าสำเร็จแล้ว สุดท้ายก็...มีเรื่องขึ้นมาแล้ว ทีนี้ ไอ้ลูกศิษย์ที่นับถือกันก็เสียศูนย์หมดน่ะ ล้ม ทรุดกันระเนนระนาด 

จนบอกศาลาการปฏิบัติภาวนาไปเลยก็มี ...ไม่เชื่ออีกแล้ว เพราะทุ่มเททุ่มใจกันไปจนหมดสิ้นเนื้อประดาตัว ว่าอาจารย์กูสุดยอดแล้ว สุดท้ายก็ล้ม 

นี่ เพราะว่าปฏิบัติตามๆ กันไป โดยไม่แยบคาย โดยไม่ถือหลักของศีลสมาธิปัญญาเป็นตัววัด เป็นมาตรฐาน

เพราะฉะนั้น มาตรฐานของมรรคผลนี่ พระพุทธเจ้าท่านบอกธรรมไว้เป็นเครื่องตรวจสอบ ...มันเป็นไปเพื่อความละวางจางคลายมั้ย มันเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดมั้ย 

มันเป็นไปเพื่อความไม่เข้าไปต่อเติมเสริมแต่งให้เกิดความยืดเยื้อมั้ย มันเป็นไปเพื่อไม่ให้เกิดความโลภความหลง ความอยาก ความโกรธมากขึ้นมั้ย

ท่านให้ตรวจสอบว่า...ถ้าทำอะไรแล้วมันขัดต่อธรรมเหล่านี้ อันนี้ไม่ใช่ธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ใช่มรรคไม่ใช่ผลที่พระพุทธเจ้าบอก ...ก็ไม่ไปฟังๆ

นี่ ไปฟัง...ศรัทธาแบบทุ่มกันไปทุ่มกันมา ด้วยความเป็นปัจเจกบุคคล เชื่อในความเป็นปัจเจกบุคคล บารมีเป็นบุคคล คุณงามความดีเป็นบุคคล ...โดยที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ 

ไม่เอาธรรมเป็นเครื่องคัดกรอง ไม่เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ากลั่นกรอง...อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ...พระพุทธเจ้าสอนธรรมที่กรองตั้งแต่หยาบ ละเอียดไว้

อย่างหยาบ...ก็อย่างที่บอก  ดูแล้ว ฟังแล้ว มันเป็นไปเพื่อความติดและข้องมั้ย มันเป็นไปเพื่อความถอดถอนออกจากทุกข์ ออกจากตัวเราของเรามั้ย ...หรือจะเป็นไปเพื่อให้ได้มามีเป็นซึ่งสุขและทุกข์ที่ยิ่งกว่า

มองกันแค่นี้ก็มองไม่ออก แล้วก็ไม่พยายามมอง ...ก็ไปลุ่มหลงมัวเมาในความเป็นปัจเจกบุคคล ทั้งท่าทางรูปลักษณ์ นิสัย หรือคุณวิเศษ บ้าบอคอแตกอะไร ต่างๆ นานา

แต่มันไม่ใช่คุณวิเศษทางศีลสมาธิปัญญา มันเป็นคุณวิเศษอย่างอื่น ในแง่มุมอื่น อะไรก็ตาม นี่ มันก็กลายเป็นพากันร่วงลงเหว ตกลงรูลงร่องกันไป 

กว่าจะตะเกียกตะกายขึ้นมา กว่าจะไปฉุดลากขึ้นมา หรือบางคนก็ไม่ยอมให้ถูกฉุดลากขึ้นมาอีก ...เลยยอมตกอยู่ในท่อระบายน้ำนั่นแหละ ตกระกำลำบากอยู่ในโลกกันต่อๆ ไป

เนี่ย ก็เลยเสียของไปหมด เอาคืนก็ยาก ...เพราะว่าไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ไปเชื่ออาจารย์มากกว่าพระพุทธเจ้า ไปเชื่อคนที่มีเครื่องแบบ โกนหัว ที่พูดเข้าท่าหน่อย ...นี่ ฟังเทศน์ยังไม่ค่อยรู้เรื่องกันเลย 

มันก็แห่แหนกันไปด้วยอำนาจของโปรโมชั่น โฆษณาแต่งเติมเขียนอรรถธรรมอะไรออกมา ซึ่งเป็นแง่มุมของปรัชญาซะมากกว่า การดำรงชีวิตอยู่ในโลก โดยอ้างอิงธรรมพระพุทธเจ้าบ้างเล็กน้อยแค่นั้นเอง

มนุษย์ตาดำๆ หัวดำหัวโล้นหัวหงอก ...ก็โง่ ถูกหลอกง่ายๆ ยอมให้เขาหลอกง่ายๆ หวังมรรคผลนิพพานแบบง่ายๆ สะดวกสบาย เอาความสุขเป็นที่ตั้ง อะไรอย่างนี้ 

มันก็เลยไปตกระกำลำบากซ้ำซาก...จนโงหัวไม่ขึ้น



(ต่อแทร็ก 15/6  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น