วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 15/14 (2)


พระอาจารย์
15/14 (570614C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
14 มิถุนายน 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ :  ต่อจากแทร็ก 15/14  ช่วง 1

โยม –  มันรู้ตัว...คืออยู่ในเมืองน่ะค่ะ มันมีสิ่งกระทบทางตาทางหูแล้วคือมันรู้ตัว แต่ว่าพอมันกระทบอะไรมันก็ยังมีความรู้สึกปรุงแต่งขึ้นมาในนั้น เรียกว่าเรารู้ตัวมั้ยคะ

พระอาจารย์ –  รู้...แต่ว่ายังรู้แบบฉาบฉวย ...แล้วมันก็ต้องรู้อย่างนี้ก่อนด้วย มันจะไปรู้แบบจริงจังไม่ได้ โดยที่รู้แล้วปิ๊ง ไม่มีอะไรแผ้วพานเลยน่ะ...ไม่มี ไม่ได้

มันจะต้องรู้อย่างนี้ ขอให้มันรู้แล้วมันเห็นว่าอยู่ในอาการนี้ เนี่ย แปลว่าอยู่ในความรู้ตัวแล้วในระดับนึง
...เพราะนั้นในการปฏิสัมพันธ์ กับหน้าที่การงานนี่ มันจะรู้แบบแยกกับโลกแยกกับขันธ์เลยไม่ได้หรอก 

มันจะต้องมีอารมณ์อยู่ตลอดเวลาเลย ...แต่ว่ามันก็จะรู้เห็นในการมีอารมณ์ แล้วในการที่ตัวมันกำลังทำอะไรอยู่ด้วยเบาๆ จางๆ ...นี่เขาเรียกว่าทรง พอเอาตัวรอด พอไม่ให้จิตมันเตลิดไปแค่นั้นเอง


โยม –  แต่เวลาภาวะฉุกเฉินที่จะโกรธแรงๆ หรือฟุ้งมากๆ มันก็จะรวมเข้ามารู้ชัดเจนเลย

พระอาจารย์ –  อือๆ ...แต่มันจะไปแยกแยะชัดเจนในกองขันธ์กองรู้ไม่ได้ เข้าใจมั้ย 

เพราะนั้นการแยกแยะมันจะต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปราศจากสิ่งที่มากระทบ เร้า อย่างยิ่ง ...จะให้ไปนั่งแยกกายแยกใจอยู่ในโรงหนังอย่างนี้ ไม่มีทาง มันไม่เอื้อ


โยม –  แต่คนที่ดูจิตเขาก็จะบอกว่า ภาวนาที่ไหนก็ได้ รู้สึกว่าง่าย เขาก็ดูๆๆ ดูไป

พระอาจารย์ –  ดูจิตน่ะไม่มีวันจบ เข้าใจคำว่า...ไม่มีวันจบมั้ย แล้วไม่มีจุดจบด้วย ...ดูกายน่ะจบ ...จบที่ไหน จบที่ไม่มีเรา จบที่ไหน จบที่ไม่เป็นเราอีกต่อไป จบว่าเป็นก้อน กอง ลักษณะนึง

แต่ถ้าดูจิตน่ะ มันก็สรรหามาเรื่อย ของแปลกใหม่ เจออะไรกระทบแปลกใหม่ ขึ้นมาอีกแล้ว เจออะไรกระทบ เดี๋ยวมากขึ้น เดี๋ยวน้อยลง อย่างนั้นอย่างนี้

ในแง่มุมนั้น แง่มุมนี้ ลักษณะนั้นลักษณะนี้ ...มันตื่นตาตื่นใจ แปลกตาแปลกใจอยู่ตลอด แต่ก็เห็นอย่างมากก็เกิด-ดับ ก็แค่นั้นน่ะ ก็แค่เห็นจิตเกิด-ดับแค่นั้น

มันลบล้างความเป็นเราตรงไหนได้ มันลบล้างความเป็นขันธ์เราตรงไหนได้โดยตลอดโดยรวม ...ก็แค่เห็นจิตเกิด-ดับ ...แล้วมันก็เกิด แล้วมันก็ดับ

แต่ความรู้ความเข้าใจด้วยศีลสมาธิปัญญานี่ มันยังไม่เกิดแบบเต็มรอบ ศีลสมาธิปัญญายังไม่เต็มรอบ ...แค่ศีลมันยังไม่มีเลย มันจะไปเต็มรอบได้ยังไง 

จะต้องเต็มรอบในศีลสมาธิปัญญานั่นน่ะ มันจึงจะแจ้งในขันธ์ทั้งหมดโดยตลอด

ส่วนมากไอ้ที่ว่าดูจิต รู้ที่ไหนก็ได้น่ะ แต่รู้มันไม่จริง บอกให้เลย ...เพราะมันไม่สามารถหรอกที่จะตั้งรู้ได้โดยตลอดกับจิตถ่ายเดียว


โยม – โยมว่าอย่างที่พระอาจารย์สอน คือเหมือนจะมีวิหารธรรมว่า อย่างน้อยเราจะต้องอยู่ตรงนี้ ไม่ไปกับรู้ไปเรื่อยๆ ถ้าเกิดว่าอย่างที่คนอื่นเขาเรียนคือ ไม่ต้องกำหนดว่าจะต้องรู้กายอย่างเดียว คือรู้กายรู้ใจ อันไหนชัดก็ดูอันนั้น คือโยมก็ดูว่ามันไม่มีที่ตั้ง

พระอาจารย์ –  เข้าใจคำว่าตีนลอยมั้ย  มันรู้แบบตีนลอยน่ะ รู้แบบล่องลอยน่ะ ...เนี่ย เขาเรียกว่าความรู้เหล่านี้ หรือว่ารู้อย่างนี้ เป็นการรู้นอกขันธ์หมดเลย

ถ้ารู้นอกขันธ์นอกปัจจุบันนี่ เรียกว่ารู้นอกมรรคหมดเลย รู้แบบเลื่อนลอย รู้แบบสะเปะสะปะ ไม่เป็นทิศเป็นทางอะไรน่ะ มันสับสน จะไม่เข้าใจอะไรเลย ...แต่สบายดี

ก็เหมือนสบายบ้าง เพราะมันจะไม่มีทุกข์และสุขจากการปรุงแต่งในเรื่องนั้นๆ แค่นั้นเอง ...แต่จะไม่เข้าใจอะไรในกองขันธ์เลย บอกให้ มีอีก...ก็เกิดอีก กระทบอีก...เกิดอีก เห็นหรือได้ยินอะไร คิดต่ออีก

เพราะนั้น การภาวนานี่จะขาดไม่ได้ซึ่งศีลสมาธิปัญญาเลย ...ต้องตอบตัวเองได้ตลอดเลยว่า เดี๋ยวนี้ศีลมีมั้ย ...จะนั่งหลับตา จะนั่งลืมตา จะเดินจงกรม หรือจะเดินที่ไหน ต้องถามต้องตอบได้ว่าศีลสมาธิปัญญามีมั้ย

หรือจะสงบขนาดไหนก็ตาม ...ต้องถามตัวเองตรงนั้นให้ได้ว่าศีลสมาธิปัญญามีมั้ย  ท่ามกลางความว่าง ท่ามกลางความสงบ ต้องถามให้ได้ว่าศีลสมาธิปัญญาอยู่ไหน

คือมันจะต้องได้ว่า...ไม่ออกนอกศีลสมาธิปัญญาเลย ด้วยความองอาจในศีลสมาธิปัญญา ...ไม่ใช่แค่เลียบๆ เคียงๆ นะ ไม่ใช่แค่ประเมิน คิดว่า คิดเอาแล้วเชื่อว่าน่าจะมี 

นี่ มันจะต้องตอบได้แบบเต็มปากเต็มคำเลยน่ะ ...เพราะนั้นที่เราถามว่าดูจิตเกิดดับ เห็นจิตเกิดดับ เท่าทันจิตเกิดดับอยู่อย่างนี้ถ่ายเดียวนี่ ...ถามว่าศีลอยู่ไหน ตอบได้รึยัง ตอบตัวเองได้รึยัง

อย่ามาบอกนะว่า...ศีลอยู่ที่ว่าไม่ได้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ กับโกหกแล้ว ...นี่ตอบแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอด

สมาธิอยู่ไหน ปัญญาอยู่ไหน ความรู้เห็นความเป็นจริงในธรรมอยู่ไหน ความเห็นสภาพที่แท้จริงของกายของใจอยู่ที่ไหน ความเห็นสภาพที่แท้จริงของขันธ์อยู่ที่ไหน

มันต้องตอบให้ได้ ...โดยที่จะมาอ้างข้างๆ คูๆ ไม่ได้ อย่ามาอ้างข้างๆ คูๆ ...ถ้ายังอ้างข้างๆ คูๆ แปลว่ายังเข้าไม่ถึงศีลสมาธิปัญญาที่แท้จริงเลย

ถ้ามันยังตอบโจทย์ตรงนี้ไม่ได้ว่าศีลอยู่ไหน สมาธิอยู่ไหน เดี๋ยวนี้มีอยู่มั้ยนี่ ถ้ายังตอบตรงนี้ไม่ได้นะ ...ไปทำก่อนว่าศีลคืออะไร สมาธิคืออะไร ศีลที่แท้จริงคืออะไร สมาธิที่แท้จริงคืออะไร อยู่ที่ไหน

แล้วจากนั้นไปน่ะ การปฏิบัติจะต้องไม่พรากจากศีลเลย จะไม่พรากจากสมาธิเลย โดยไม่อ้างกาล ...นี่ เป็นอกาลิโกเลย ศีลสมาธิปัญญาต้องเป็นอกาลิโกเลย

ไม่มีเวลามาขีดคั่น ไม่มีอะไรมาจำกัด ไม่มีสถานะใดเหตุการณ์ใดมาจำกัดหรือขีดคั่นได้เลย ไม่ว่าจะตกในสภาวะห้วงอารมณ์ใด ห้วงกิเลสใดก็ไม่สามารถมากีดกั้นศีลสมาธิปัญญา

นั่นน่ะตอบโจทย์ให้ได้ก่อน...ว่ามรรคนี่สามารถมาละลายอยู่ในขันธ์ มาละลายอยู่ในชีวิตได้ มาแทรกซึมอยู่ในขันธ์ มาแทรกซึมอยู่ในทุกกระบวนการของการดำรงชีวิตในขันธ์ได้


โยม –  แต่จริงๆ แล้วศีลกับสมาธิก็เป็นตัวเดียวกันรึเปล่า

พระอาจารย์ –  ในเบื้องต้นนี่ ยังไม่เรียกว่าเป็นตัวเดียวกัน ยังแยกจากกัน...กายอันหนึ่ง...รู้อันหนึ่งนะ  ...ยังต้องมีนะ กายอันหนึ่ง...รู้อันหนึ่ง ยังแยกจากกันอยู่นะ

อย่าเพิ่งเข้าถึงจุดที่เรียกว่าศีลสมาธิปัญญารวมเป็นที่เดียวกัน ...ถ้ารวมกันเป็นที่เดียวกันน่ะ คือพระอนาคาขึ้นไป คือท่านออกจากความหมายมั่นในกายแล้วจริงๆ ท่านไม่หลงกาย ท่านไม่หลงโลกแล้ว

นั่นแหละศีลสมาธิปัญญามันจึงละ มันจึงผละจากศีลที่เรียกว่าภายนอก คือกาย...กายนี่ถือว่าเป็นภายนอกแล้วนะ โลกถือว่าเป็นภายนอกแล้วนะ ...มันจะผละออกเลย

พอมันผละออกจากการที่สติหรือสมาธิไปจรดไว้กับศีลที่ว่า...นี่เป็นศีลที่เป็นกรอบที่จะต้องรู้ กรอบที่จะต้องเห็น ...มันผละเลย มันทิ้งเลย

พอมันทิ้งปั๊บนี่ ศีลสมาธิปัญญามันจะมารวมกันที่เดียว...ที่ใจ ...อย่างนั้นถึงจะเรียกว่าศีลสมาธิปัญญาอยู่ที่เดียวกัน ไม่แยกจากกัน

แต่ในขณะนี้เบื้องต้นนี่ มันจะต้องแยกกันทำหน้าที่ กายอันหนึ่ง...รู้อันหนึ่ง ...เพื่ออะไร ...เพื่อทำความแจ้งในศีลในกายก่อน

แล้วมันจึงจะสลายความหมายมั่นในสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าใจ...ที่จับต้องได้ เป็นรูป และเป็นธาตุ สสาร วัตถุ แล้วมันจึงจะลบความหมายมั่นนี่ก่อน มันจึงจะผละออกจากศีลตัวนั้น

นี่คือนัยยะของศีลเลยที่ว่าจะต้องมี ...จนกว่ามันจะแจ้งในศีล แล้วศีลสมาธิปัญญามันจึงจะรวมเป็นหนึ่ง ...ในที่เดียวกันคือใจ แล้วจากนั้นไปนี่...ใจคือมรรค 

แต่เบื้องต้น...กาย-ใจ...คือมรรค ...แยกกันนะ ...แต่พอถึงจุดนั้นนี่...ใจคือมรรค  เดินอยู่ที่เดียว เดินอยู่ในใจที่เดียวเลยน่ะมรรค...เป็นมรรคจิตมรรคญาณอยู่ในนั้น ไม่ออกมารู้ภายนอกแล้ว ศีลก็อยู่ที่เดียวกัน

เพราะนั้นยังต้องอาศัยธรรมคู่ สิ่งที่ถูกรู้หนึ่ง...สิ่งที่รู้หนึ่ง  นี่คือมาตรฐานเลย...ศีลสมาธิปัญญา จะต้องเป็นธรรมคู่ ...ยังเข้าสู่ธรรมเอกไม่ได้

จนกว่ามันจะเรียนรู้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้ามัน จนหมดสิ้นซึ่งความหมายมั่นในความเป็นเรา ความเป็นเขา ความเป็นตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร มีอยู่จริงตั้งอยู่จริง เกิดสุขและทุกข์ของเราได้จริง

พวกนี้ต้องแจ้ง สลายหมดก่อน มันถึงจะผละทิ้ง วางมือ ...ศีลก็หมดค่าแล้ว ความหมายในศีลภายนอกนี่หมดแล้ว ศีลก็จะเข้าไปสู่ศีลภายใน ศีลละเอียด ศีลอันประณีตขึ้น

ตามลำดับของศีล...จะเป็นละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ  จนรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน จนแยกกันไม่ออกว่าศีลสมาธิปัญญาอยู่ที่ไหน นั่นแหละคือที่เดียว...คือที่ใจ ...มหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญากำลังดำเนินอยู่ภายใน 

เพราะนั้น ในภาวะนั้นนี่ จิตนี่...จะไม่มีจิตออกมาเลย จะไม่มีจิตออกมาข้องแวะกับกายเลย จะไม่มีจิตออกมาข้องแวะกับรูป จะไม่มีจิตออกมาข้องแวะกับอายตนะที่เนื่องด้วยกาย ถึงจุดนั้นจะไม่มีจิตออกมาข้องแวะเลย

ซึ่งไม่ใช่ด้วยการบังคับ ไม่ใช่ด้วยการควบคุม ...แต่มันไม่ข้องแวะโดยอำนาจของศีลสมาธิปัญญา...ด้วยความเข้าใจ ด้วยความถ่องแท้เลยว่า ไม่มีอะไรควรค่าแก่การหมายมั่น

ไม่มีอะไรควรค่าแก่การเข้าไปให้ค่าว่าเป็นเราของเราเลย นี่ มันแจ้งอย่างนั้นเลย ในระดับมหาสติ มหาสมาธิ ที่บ่มเคี่ยวกรำอยู่นี่...กับศีล กับสิ่งที่ถูกรู้คือกาย คือรูป คือจิตนี่

เอ้า เอาล่ะ พอแล้ว ไปนั่งดูตัวนั่งดูใจของตัวเองไป


.................................



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น