วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 15/13 (1)


พระอาจารย์
15/13 (570614B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
14 มิถุนายน 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ :  แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น  3  ช่วงบทความ)

โยม –  ก็ทิ้งไปเฉยๆ แล้วไม่ได้ปรุงแต่ง มันก็ไม่มีอะไรเลย นอกจากเกิดแล้วก็ดับๆ ...แล้วก็ให้เห็นไปแค่นี้หรือคะ

พระอาจารย์ –  มีกายอยู่รึเปล่า ...ถ้ามีกายก็อยู่แค่นั้นแหละ


โยม –  แต่ว่ากาย...มันก็จะเห็นแค่หมือนกายมันเป็นเแว้บๆ แว้บๆ ...ถ้าไม่ขยับ มันก็ไม่มีอะไรเลย

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ อยู่แค่นั้นแหละ จะเอาอะไร ...นี่ ถ้าจิตมันจะเอาอะไรขึ้นมานี่...ให้เห็น  แล้วก็ไม่เอา...ละซะ  ...ให้มันพอดีกับสิ่งที่มันกำลังแสดงแค่นี้

อะไรที่มันจะให้นอกเหนือจากนี้ ให้มันไปหาอะไรที่มันเกินนี้...นั่นแหละตัณหา  อะไรที่มันอ้างว่าเป็นธรรมข้างหน้า ข้างหลัง ที่ว่าต้องได้ต้องเห็น...นั่นแหละตัณหา ...ละ ทิ้ง


ผู้ถาม –  มันก็พยายามตั้งมั่น มันไม่ใช่เป็นกิเลสหรืออาจารย์

พระอาจารย์ –  เป็น


ผู้ถาม –  แต่นี่มันดีกว่า

พระอาจารย์ –  ก็เรียกว่าเป็นการเจริญมรรค


ผู้ถาม –  เจริญมรรค คือพยายามประคองให้ตั้งมั่น

พระอาจารย์ –  เข้าใจคำว่า แมนน่วล (Manual) มั้ย ...ศีลสมาธิปัญญาเกิดเองไม่ได้นะ


ผู้ถาม –  มันต้องทำ

พระอาจารย์ –  มันต้องทำ...เบื้องต้นต้องทำ ...เพราะนั้นการทำนี่ ยังไงยังไงนี่ มันเจือด้วยตัณหาอยู่แล้ว ...แต่ว่าตัณหาในลักษณะนี้จะไม่เรียกว่าตัณหาเต็มตัว ...ท่านเรียกว่าฉันทะ

เพราะนั้นตัวฉันทะนี่ มันจะดูเหมือนคล้ายกับว่าเป็นตัณหา ..แต่จริงๆ ไม่ใช่ ไม่เรียกว่าตัณหาโดยตรงนะ


ผู้ถาม –  คือพอใจในสภาพที่ตั้งมั่นอยู่แล้ว

พระอาจารย์ –  มันเห็นคุณค่าของการตั้งมั่น เห็นผลแห่งการตั้งมั่น จึงมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา ...นี่ ไม่ใช่ฉันทะอย่างเดียว มันจะเป็นอิทธิบาทที่กอปรด้วย ๔ ลักษณะรวมกัน

คือมันเป็นฉันทะในลักษณะที่มีเป้าหมายชัดเจน แล้วเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น พ้นทุกข์ถ่ายเดียว เข้าใจมั้ย ...เพราะนั้นจึงเป็นฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

คือมันใคร่ครวญด้วยในตัวของมัน ว่าทำไมถึงจะต้องมาใส่ใจตั้งใจทำอยู่อย่างนี้ มันมีวิมังสาอยู่แล้วด้วยปัญญาในระดับนึง ...มันไม่ได้เป็นแต่ความอยากถ่ายเดียว

ถ้าเป็นแต่ความอยากถ่ายเดียวนี่เรียกเต็มตัวเลยว่าตัณหา นั่นให้ละเลย ไม่ต้องดูหน้าดูตามันเลย ...ถ้าเป็นความรู้สึกว่าอยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไร...ในโลกหรือในธรรมก็ตาม ...ให้ละเลย นี่ไม่ใช่แล้ว

แล้วก็ให้พึงพอใจกับการที่เจริญรักษาศีลสมาธิสติไว้  นี่ เรียกว่าอยู่ด้วยฉันทะ อยู่ด้วยอิทธิบาท ๔ ...นี่เรียกว่าอิทธิบาท ๔


โยม –  พระอาจารย์คะ โยมภาวนาแล้วเหมือนมันมีอะไรบางอย่างที่พยายามจะดิ้นออกมา บางทีก็เห็นว่าตัวดิ้นมันเป็นตัวเรา บางทีก็ไม่เห็นว่ามันเป็นตัวเรา แล้วมันก็ดับไป

พระอาจารย์ –  อือ นั่นแหละ ตัวกิเลส ตัวตัณหา ทะยานอยาก


โยม –  แต่ว่ากายเรา คือก็ยังแบบสงบนิ่งอยู่นะคะ แต่เหมือนมีอะไรสักอย่างที่มันดิ้นอยู่ข้างใน แต่ว่าก็มีตัวนึงที่สงบที่มันเห็นไอ้ตัวนี้มันดิ้น

พระอาจารย์ –  ก็ไอ้ตัวที่เห็น ตัวที่มันเห็นแล้วมันไม่ไปไม่มา นั่นน่ะคือตัวใจ ...ตัวกายเขาไม่รับอารมณ์ ไม่นำพากับอะไรอยู่แล้ว


โยม –  แล้วเหมือนเมื่อวานนี้นะคะ มันก็รู้สึกขึ้นมาว่า ไอ้ตัวที่ดิ้นนี่แหละ มันไม่ใช่เรา แต่เห็นแค่แว่บเดียวที่มันออกมาเองว่า มันไม่ใช่เรา

พระอาจารย์ –  ถ้าไม่เห็นน่ะใช่ “เรา” แน่ เข้าใจมั้ย ถ้าไม่เห็นน่ะ ไอ้ตัวนี้จะเป็น “เรา” ...แต่เพราะเห็นนี่ มันถึงไม่เป็นเรา เพราะมันเห็นด้วยสมาธิปัญญา มันจึงเห็นเป็นแค่อาการหนึ่ง

แต่ถ้าไม่เห็นเมื่อไหร่นี่ ไอ้ตัวนี้...หน้าเหมือนเราเด๊ะเลย  มันจะแอบอ้างเลยว่าเป็นเรา แล้วมันจะแอบอ้างทุกสิ่งเลยน่ะเป็นเรา แอบอ้างกาย แอบอ้างใจ เป็นเราหมดเลย บอกให้

แต่เพราะเราอยู่ในท่าที่เตรียมพร้อมศีลสมาธิปัญญา มันจึงเห็นว่าไม่เป็นเรา แต่จะเห็นเป็นอาการดิ้นหนึ่ง เห็นเป็นอาการหมุนไปวนมา ทะยานไปทะยานมา ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา

แต่อย่าให้ไม่รู้นะ อย่าให้ไม่มีสติสมาธิปัญญานะ ทั้งหมดนี่จะเป็นเรา ตัวนี้จะเป็นตัวเหตุของเราเลย ...เพราะนั้นเห็นก็ดีแล้ว เท่าทันก็ดีแล้ว

ก็ไม่ต้องทำอะไร เข้าใจมั้ย ตั้งอยู่อย่างนี้ ทรงอยู่อย่างนี้ โง่เข้าไว้ รู้ธรรมก็รู้แค่นี้ ...นี่คือธรรมปัจจุบัน นี่เรียกว่าธรรมปัจจุบัน นี่เรียกว่าขันธ์ปัจจุบัน อยู่ในกรอบแค่นี้

แล้วไม่ต้องไปแปลความหมายอะไร ...ถึงมันจะอดแปลไม่ได้ก็ตาม หรืออดไม่ได้ที่จะเอาภาษาธรรมมาทาบทาก็ตาม ...ก็ชั่งมัน 

แต่อย่าไปจริงจังให้ถึงขั้นที่ว่าไปงมหาภาษา หรือบัญญัติธรรมตามตำรามารองรับน่ะ อย่าไปงมถึงขนาดนั้น ...อาจจะมีภาษาธรรมติดมาบ้างเป็นบางครั้งบางคราวก็ตาม ชั่งมันเถอะ เดี๋ยวมันก็หายไป

เอาแต่ธรรมล้วนๆ ธรรมแบบธรรมะดิบๆ น่ะ แบบไม่คั่วไม่ย่างน่ะ ...เคยเห็นเนื้อสดมั้ย ไม่ผ่านการปรุงแต่งน่ะ คือไม่เจือรส เจือสี เจือกลิ่น ผ่านการอบ การปิ้ง การย่าง การต้ม การหั่น การซอย

เนี่ย คือต้องการธรรมล้วนๆ มันปรากฏยังไงก็อย่างงั้น  ไม่ต้องไปตีความหมาย ไม่ต้องแปลความหมาย ไม่ต้องเอาว่าถูก ไม่ต้องเอาว่าผิด ...เฉยๆ รู้เฉยๆ

แล้วจะเห็นเองว่า สภาพที่มันจะคงที่หรือคงความไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล คือมีอยู่สองที่...ที่กาย กับที่รู้ สองที่นี้ ..จำให้แม่น

รู้นี่จะมีอยู่ที่นึงคือเห็น ...สภาพรู้และเห็นกับสภาพกายจริงๆ ที่กำลังปรากฏ จะเป็นสภาพชัดเจนเลยที่ไม่ใช่สัตว์บุคคล ไม่มีชีวิตของเราอยู่ในนั้น ...แล้วก็รักษาไว้ ทรงไว้

ทีนี้คือ มันทรงได้แต่ตอนไหนล่ะ ...ถ้ามันได้บางเวลา นี่คือหน้าที่ของเราที่จะให้ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน อย่างน้อยที่สุดต้องมีกายกับใจตรงนั้นให้ได้ ...นิดนึงก็ต้องมี

คือจะต้องไม่ให้มันขาดช่วง ...จะชัด-ไม่ชัด จะแยกกันชัดหรือไม่ชัด แต่อย่าให้มันขาดหาย  จะเบาบางขนาดไหนก็ขอให้มันมี ท่ามกลางการดำรงชีวิต ท่ามกลางการสมาคมผู้คน

นี่เขาเรียกว่างานยากนะนี่ เรียกว่างานหินเลย แต่เป็นงานหินที่ละเอียด ...ศีลสมาธิปัญญาตรงนั้น มันจะต้องแทรกซึมขึ้นมาให้ได้

จะต้องเอาความพากเพียรนี่...ไปแทรกซึมศีลสมาธิปัญญาขึ้นมาท่ามกลางกิเลสนั้นให้ได้

คือในเวลา สถานที่ บุคคล ซึ่งเป็นห้วงที่กิเลสเป็นใหญ่ ความไม่รู้ตัวเป็นใหญ่ ...ตรงนี้เราจะต้องเอาศีลสมาธิปัญญานี่ แทรกซึมขึ้นมาให้ได้

ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีทางเอาชนะมันได้เลย ไม่สามารถจะตีค่ายแตกได้เลย  ...มันจะเริ่มจากการแทรกซึมขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย แล้วก็ขยายกินพื้นที่

ทีนี้กิเลสมันก็จะเริ่มเกิดความระส่ำระสายไม่เป็นขบวน ...เริ่มไม่เป็นขบวนคือจับกันไม่ติด เริ่มไม่เป็นชิ้นเป็นอันของกิเลสเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นของเรา เป็นอารมณ์ของเรา มันเริ่มอลหม่านแล้ว

เนี่ย ด้วยผลอำนาจการแทรกซึมของศีลสมาธิปัญญา แบบไม่ท้อถอย ไม่หยุดยั้ง ...แล้วจากนั้นไปศีลสมาธิปัญญามันจะคืนพื้นที่เดิม...คือกายใจ คือขันธ์

นี่ มันเป็นปฏิบัติการภารกิจขอคืนพื้นที่...จากอำนาจของกิเลสที่ครอบงำ


ผู้ถาม –  ที่มันคืนเพราะอะไรอาจารย์  มันคืนเพราะมันเห็นแล้วหรือ

พระอาจารย์ –  มันก็แทรกซึมไง ...คือจริงๆ น่ะ ตอนนี้พวกเราอยู่กับขันธ์นี่ เราอยู่ในสภาวะที่กิเลสครอบงำหมด ปิดทับเลย ทับถมลงมาเลย ...การรู้การเห็นก็ผ่านจิตผ่านเราหมดเลย มันไม่ถึงใจเลย

เพราะมันจะผ่านกิเลสที่มันบังขันธ์แบบมิดเลย ร้อยเปอร์เซ็นต์ ...เพราะนั้นการที่เราฝึกสตินี่ ด้วยการเจริญขึ้น ด้วยแมนน่วล (manual) นี่ เหมือนกับไปสร้างศีลสมาธิปัญญาขึ้นมา


ที่จริงแล้วไม่ได้สร้างหรอก ศีลสมาธิปัญญาก็มี...แต่มันถูกปิดไว้ ...จึงว่าแทรกซึมไง เข้าใจมั้ย  

พอแทรกซึม มันก็ไปเปิดจุดนี้ออก ...ศีลมันก็ปรากฏ ความเป็นกายที่แท้จริงปรากฏอย่างชัดเจนในจุดหนึ่งๆๆ ...นี่เรียกว่าการแทรกซึมขึ้นมา


(ต่อแทร็ก 15/13  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น