วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 15/2


พระอาจารย์
15/2 (570601B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
1 มิถุนายน 2557


พระอาจารย์ –  พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เอาชนะกรรม แต่พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่เหนือกรรม แล้วไม่ประกอบกรรมอันไม่ดี แค่นั้นแหละ คือบุญ...ดี อกุศล...ไม่ดี อย่าทำ

เนี่ย บุญให้ทำ บาปให้ละ นี่คือหัวใจของพุทธศาสนา ทำจิตให้บริสุทธิ์ ...ซึ่งไอ้ทำจิตให้บริสุทธิ์นี่ ไม่ค่อยมีใครทำ ทำบุญน่ะมี ไอ้ไม่ทำบาปนี่ก็ไม่ค่อยมี

เรียกว่ามันละบาปได้ยาก เพราะบาปนี่มันเคยชิน ถึงไม่บาปด้วยปาก ไม่บาปด้วยกาย แต่มันก็บาปในจิตอย่างคนเดินผ่านหน้าบ้านนี่ มีแต่ด่า ไม่มีชมหรอก

จิต...มันจะตำหนิก่อน เข้าใจมั้ย มันมักจะตำหนิ หาแต่จุดบกพร่อง ของแม้แต่กระทั่งวัตถุ ไปซื้อของก็ติก็เลือก คือมันไม่มีชมหรอก ...คือนิสัยของจิตมันอกุศลทั้งนั้นแหละ

คนเขาเดินอยู่เฉยๆ ไม่รู้จักกัน ก็มองหาไอ้ส่วนบกพร่องของมัน มันเดินเป๋ไปว่ะ ทำไมมันเดินอย่างนี้ ...อะไรอย่างนี้ อกุศลนี่มันจะเกิดได้ตลอดเวลา และง่าย และชิน และไม่รู้สึกว่าผิดด้วย

แล้วเหล่านี้มันสะสมกรรมมาทั้งนั้นน่ะ เป็นความเศร้าหมองภายใน แล้วเวลามันส่งผลมา ก็ว่า... "หนูไม่ได้ทำ หนูไม่เคยทำเลย ทำไมถึงเจอ" ... แน่ะ เขาเรียกว่าอ้าง เอาตัวรอดแบบหน้าด้านๆ

ด้วยความไม่รู้นะ มันจะไปแบบไม่มีเหตุไม่มีผลน่ะ...ว่าไม่เคยทำ ตั้งแต่ดำรงตนมานี่ไม่เคยว่ากล่าวให้ใครเลย ไม่เคยคิดคด จองเวรจองภัยใคร ทำไมเจอแต่เรื่องไม่ดี

มึงไม่ทำชาตินี้ ชาติก่อนมึงรู้รึเปล่าล่ะ ใครจะไปรู้ ...กรรมนี่เขาไม่เลือกหรอก  เพราะนั้นพระพุทธเจ้าจึงบอก เรื่องของกรรมนี่เป็นเรื่องอจินไตย

คำว่าอจินไตย ...คือไม่สามารถไปคิดคำนึงถึงได้เลยว่า อะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่มันกำลังปรากฏอยู่เบื้องหน้านี้

การที่เราได้รูปลักษณ์เป็นผู้ชาย-ผู้หญิง ผิวพรรณวรรณะขนาดนี้ระดับนี้ ทรวดทรงความหนาความบางของโหนกกะโหลก เบ้าตา รูหู ความยาวของแขนของขา เหล่านี้มันมีที่มาที่ไป...ของกรรม

ไม่ใช่อยู่ดีๆ มันมาแบบมาจากกระบอกไม้ไผ่นะ มันมีต้นสายปลายเหตุ ...แม้แต่ผิวพรรณที่แตกต่างกันก็ยังมีอำนาจของกรรมเป็นตัวกำหนดเลย กรรมที่กุศลและอกุศล

เพราะนั้นเมื่อใดที่กุศลมันส่งผลมามากกว่า มันก็ทำให้รูปลักษณ์ของกายนี้ดูค่อนข้างสวยงามดูดี  เมื่อใดอกุศลมันส่งผลมา มันก็ออกมารูปลักษณ์ของกายในลักษณะที่คนอื่นเขาจะรับรู้ได้ว่าไม่ค่อยดี 

เหล่านี้มันมีที่มาที่ไปของมันอยู่นะ ไม่ใช่อยู่ดีๆ มันมาอยู่ได้ลอยๆ ...แม้แต่กรรมที่บ่งบอกความเป็นเพศชายเพศหญิง เหล่านี้ก็มีกรรมเป็นตัวสนับสนุนหมดเลย

การดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่รู้เนื้อรู้ตัวตลอดเวลานี่ ก็หมายความว่าตลอดเวลาก็สร้างเหตุแห่งกรรมไว้ ซึ่งจะต้องรับผลต่อไปในภายภาคหน้า...ไม่หยุด ไม่สามารถหยุดวิถีแห่งกรรมนี้ได้เลย 

มันก็จะต้องส่งผลๆ ต่อไป รอรับผลต่อไป ...เพราะนั้นการที่ จิตนี่ เบื้องต้นนี่ มาหยุด หยุดอยู่กับกาย หยุดอยู่กับศีล  กุศลกรรมและอกุศลกรรมนี่หยุดที่จิตแล้ว การประกอบมโนกรรมภายในนี่หยุด

แล้วมันยังสืบเนื่องถึงการประกอบกายกรรมและวจีกรรม ...เนี่ย จะหยุด มันจะเป็นไปด้วยลักษณะที่ไม่ค่อยมีเจตนาใน “เรา” เข้าใจมั้ย ...การทำการพูด มันจะทำไปแบบด้วยสติ ไม่ใช่ด้วยอำนาจของ “เรา”

ด้วยความรู้ตัวด้วยความรู้ตัวนี่ ไม่ได้อยู่ในอำนาจของ “เรา” ร้อยเปอร์เซ็นต์ ...เจตนาจึงเป็นลักษณะที่ไม่เข้าไปเป็นเจตนาของเราร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะมีเจตนาบ้าง...แต่ไม่เท่าเดิม

เหล่านี้คือลดทอน บั่นทอน อานิสงส์หรือวิบากแห่งกรรมที่จะได้รับต่อไปในอนาคต เพราะกรรมนี่ขึ้นด้วยเจตนานะ หนักเบานี่ขึ้นอยู่ที่เจตนาของเรา

ฆ่ามดกับฆ่าช้าง ...ถ้าฆ่ามดด้วยความจงเกลียดจงชัง โคตรจะเกลียดมันเลย กับเผลอ พลั้งมือไปฆ่าช้างทั้งตัว กรรมที่ทำกับมดอาจจะมากกว่าฆ่าช้างด้วยซ้ำ ขึ้นด้วยเจตนาเป็นหลักเลย อยู่ที่ตัวนั้นเป็นคุรุเลย

เพราะนั้นเมื่อเจตนาใน “เรา” มันน้อย มันสั้น หรือมันจาง เบา ...วิบากที่จะรอรับข้างหน้านี่มันเริ่ม...เรียกว่าเหมือนเป็นแผ่นฝ้าเป็นแผ่นน้ำแข็งบางๆ ไม่ใช่ก้อนน้ำแข็งแล้ว 

แต่มันเหมือนเป็นฝ้าหิมะ ซึ่งมันไม่ค่อยหนาไม่ค่อยหนัก ...โดนหิมะปาใส่หัวกับโดนน้ำแข็งปาใส่หัว อันไหนเจ็บกว่า เข้าใจมั้ย ...นี่คือวิบากกรรมมันส่งผลไม่เท่ากัน

จนกว่ามันจะหยุดสนิทในความเป็นเรา ปึ้บนี่ ...ถ้าความเป็นเรา หมด หรือสิ้น หรือว่าระงับ หรือว่าหยุดโดยชั่วคราวก็ตาม  ลักษณะนี้ความเป็นเราไม่มีในการกระทำ ...เจตนาใน "เรา" ไม่มี

เพราะนั้นกรรมที่จะทำในปัจจุบันจะไม่มี จะไม่มีผลสืบเนื่องไปในอดีตในอนาคตเลย ...หยุด เหนือกรรม ตรงนี้เรียกว่าเหนือกรรม

ทำไมเรียกว่าเหนือกรรม ...เพราะว่าในขณะที่หยุด กรรมในอดีตยังส่งผลอยู่นะ กรรมในอดีตไม่หยุดส่งผลนะ ...แต่ว่ามันไม่มีกรรมประกอบในปัจจุบันเพื่อจะสืบไปในอนาคต

คือว่ากรรมในอดีตยังส่งผลมา ...แต่จะอยู่ในลักษณะที่รับรู้โดยภาวะที่ยินยอม ไม่เข้าไปพอใจหรือไม่พอใจ ไม่เข้าไปยินดีหรือไม่เข้าไปยินร้ายในมัน ...อย่างนี้ต่างหากเรียกว่าเหนือกรรมในขณะหนึ่ง

เพราะนั้นในลักษณะของพระอริยะทั้งหลาย จนถึงพระอริยะขั้นสูงสุด  ท่านจึงเรียกว่าเป็นผู้ที่อยู่เหนือกรรมโดยสิ้นเชิง เป็นผู้ที่ลอยอยู่เหนือบุญและบาป

เพราะเจตนาในบุญและบาปท่านหมดแล้ว ...ที่หมดไม่ใช่ว่าหมดเพราะอะไร ...เพราะไม่มี “เรา” เพราะไม่มีเราเป็นผู้ไปให้เจตนา นั่นเอง

เพราะนั้นจึงเป็นผู้เรียกว่าเหนือบุญและบาป และเป็นผู้ที่อยู่เหนือกรรม ...แต่ไม่ใช่ว่าหมดกรรมนะ จะหมดกรรมต่อเมื่อขันธ์นี่แตกดับตายไป

ตรงนั้นน่ะ กรรมทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวงนี่ มันจะมาสงเคราะห์จนถึงที่สุดเลย  แล้วก็มาเช็คบิลเก็บโต๊ะ ล้าง...ล้างกรรมตรงนั้น ...เรียกว่าหมดหนี้กรรมกัน

ดูสิ ขนาดพระพุทธเจ้า จะไปนิพพาน เดินทางจะไปกรุงกุสินารา ท่านยังต้องชดใช้วิบากกรรมเลย ...ซึ่งเป็นเศษกรรมเล็กน้อยที่ให้ท่านกระหายน้ำ แล้วให้พระอานนท์ไปตักน้ำให้ฉัน

ก็ไปตักน้ำที่แม่น้ำ ก็ดันให้มีคาราวานเกวียนเดินข้ามจนน้ำขุ่นคลั่กไปหมดทั้งสายน้ำ นี่ จนต้องเดินกลับมาทูลพระพุทธเจ้าถึงสามครั้งน่ะ ว่าน้ำไม่ใส น้ำไม่มี

พระพุทธเจ้าก็บอกให้ไปเอามาอีก ดูสิ พระพุทธเจ้าท่านต้องทนกระหายน้ำอยู่ถึงขนาดนั้น ...นี่คือเศษกรรมของพระพุทธเจ้า ท่านยังต้องชดใช้เลย

หรือแม้กระทั่งตายไปแล้ว เอ้า วิบากแห่งขันธ์ยังเหลือ กรรมยังไม่หมด ...เคยได้ยินไหมว่าตอนเผาพระพุทธเจ้าน่ะเผาไม่ได้ เจ็ดวันนั่นน่ะที่ยังเผาไม่ได้ จุดไฟไม่ติด

ที่อัฏฐมีบูชานั่นแหละ รอถึงเจ็ดวัน ไม่ใช่อะไรหรอก คือจุดไฟไม่ติด เอาฟืนสุมรอแล้ว เอาเชื้อเพลิงน้ำมันมาก็ไม่ติด ...นี่ กรรม ตายแล้วยังมีกรรมกับวิบากยังเหลือเลย ก็ยังไม่หมดสิ้นไปโดยสมบูรณ์

ต้องรอให้พระมหากัสสปะซึ่งท่านกำลังไปธุดงค์อยู่ในป่า แล้วรู้ข่าวไม่ทัน ไม่ได้มากราบพระพุทธเจ้าตั้งแต่ท่านยังมีลมหายใจอยู่ ...มาไม่ทัน ก็ใช้เวลาเดินทางมาเจ็ดวัน จึงมาถึง ณ ที่ประชุมเพลิง 

พอพระมหากัสสปะมาแล้วเอาดอกไม้ไปถวายแสดงนบคารวะต่อสรีระพระพุทธเจ้า ปึ้บ พระพุทธเจ้าเหมือนกับแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ว่า ขานี่ยื่นออกมาให้พระมหากัสสปะสรงน้ำแล้วกราบกับเบื้องบาท 

นั่นแหละพอพระมหากัสสปะกราบเสร็จ คารวะเสร็จ ไฟก็ลุกติดขึ้น การประชุมเพลิงของพระพุทธเจ้าจึงสำเร็จผลขึ้นมาได้ ...นี่คือกรรม นี่คือวิบากกรรมที่มีต่อพระมหากัสสปะ แล้วยังไม่หมดกัน 

นี่ขนาดเป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์นะนั่น ท่านยังต้องใช้กรรมทุกเม็ดทุกอณูเลย ไม่มีเว้น ...เห็นมั้ย กฎแห่งกรรมไม่มีเว้นว่าเป็นพระพุทธเจ้า

หรือพระโมคคัลลาน์ก็โดนตีจนกระดูกแหลก แหลกจนต่อกันไม่ติดน่ะ ...เหาะหนีไปสามครั้งน่ะ มีฤทธิ์รู้จะถูกตี เขามาดักตีตอนบิณฑบาตนี่กลับมาเมื่อไหร่โดนแน่ มันเอาตายน่ะ 

ครั้งหนึ่งก็หนีได้ ดูใหม่ มารออีก สองครั้งก็แล้ว สามครั้งก็แล้ว ก็สำรวจเลย มันเพราะอะไร ...อ้อ เข้าใจแล้ว ด้วยญาณวิถี เคยทุบตีพ่อแม่แล้วโยนลงเขา ... นี่ ทำแล้วไปตกนรกหมกไหม้อยู่ตั้งเท่าไหร่

เพราะนั้นไอ้ที่เหลืออยู่นี่คือเศษกรรม ยังไงก็ต้องใช้ ...เพราะว่าพระโมคคัลลาน์กำลังจะเข้านิพพานอยู่แล้ว ท่านรู้แล้วกำลังจะนิพพาน กรรมนี้ เศษนี้ก็มาส่งผล ก็เลยยอมรับ ก็เลยปล่อย

นั่งรอ โจรก็มาตี ทุบเอาจนแหลกเหลวหมดเลย โจรตีเสร็จก็ลงสู่อเวจีทันที ดูดลงไปเลย เหมือนกับแผ่นดินไหวแล้วก็ทรุดลงไป มันทานรับกรรม...อนันตริยกรรมไม่ได้ กรรมใหญ่มาก

แล้วพระโมคคัลลาน์ ยังไม่ออกจากขันธ์ ...โดยธรรมเนียม ก็รวบรวมกำลังสมาบัติแล้วก็รวมขันธ์ขึ้นมาใหม่ รวมกระดูกขึ้นมาก่อร่างสร้างมา แล้วก็เหาะมากราบลาพระพุทธเจ้า

นี่คือธรรมเนียมของเอหิภิกขุ ถ้านิพพานก่อนพระพุทธเจ้า จะต้องมาทูลลา...เป็นอริยะธรรมเนียม แสดงความคารวะนอบน้อมก่อน แล้วจึงจะเข้าดับขันธ์ด้วยความสมบูรณ์

พระพุทธเจ้าก็อนุโมทนา สมแล้ว บริบูรณ์แล้ว บริสุทธิ์แล้ว หมดจดแล้ว จากกรรมน้อยกรรมใหญ่ทั้งหลายทั้งปวง ...ก็ลา เสร็จก็ล้มตรงนั้นเลย ด้วยความแหลกเหลวของตัวทั้งตัวเลย

เนี่ย เวทนาอย่างแสนสาหัสเลยนะ ...แต่จิตนี่ไม่มีเป็นเราเป็นเขาแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องของขันธ์ เป็นเรื่องของกรรมโดยสมบูรณ์ ...หมด ใช้หนี้หมดเลย

เห็นมั้ย แม้แต่พระอริยะ พระอัครสาวก พระพุทธเจ้า ท่านก็ยังอยู่ใต้กฎเกณฑ์ของกรรม ...ยอมทุกกระบวนการ

เพราะนั้น กรรมในอดีตเราไม่รู้หรอก ว่าเราเคยทำแล้วเราจะต้องได้รับผลอย่างไร ...แต่กรรมปัจจุบัน และกรรมที่จะส่งผลในอนาคตนี่รู้นะ ...รู้ได้นะ

และทำได้...ทำให้น้อยได้ จนถึงที่สุดไม่ทำเลย ...อันนี้เป็นสิ่งที่เนื่องด้วยการภาวนาเท่านั้น จึงจะอยู่ด้วยภาวะที่ไม่เข้าไปประกอบกรรมใหม่ให้เป็นผลตกค้างต่อไปในอดีตและอนาคต

ส่วนกรรมในอดีตน่ะมันแก้ไม่ได้อยู่แล้ว ไม่มีใครแก้ได้ด้วย ก็รับ...รับมันไป ...แต่ว่าการรับกรรมก็รับยังไงล่ะ รับด้วยอารมณ์รึเปล่า รับด้วยความไม่รู้รึเปล่า รับด้วยความพอใจ-ไม่พอใจรึเปล่า

ก็ต้องรับด้วยศีลสมาธิปัญญาเป็นตัวรองรับ ...ศีลสมาธิปัญญาในบุคคลนั้นเป็นตัวรองรับกรรม เป็นตัวต้านทานกรรม เป็นตัวอดทนต่อกรรม เป็นตัวที่เรียนรู้กับกรรม เป็นตัวที่เกิดปัญญากับกรรมนั้น

ถือว่าเป็นเหตุสงเคราะห์ให้เกิดปัญญาไปในตัวเลย ...ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร มันทำให้เกิดปัญญาความรู้ความเข้าใจว่า อะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อะไรเป็นมรรค อะไรเป็นผลของมรรค

จะทำยังไงต่อทุกข์อันนี้ อะไรเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกว่ามันเป็นทุกข์กับเรา และต้นตอของทุกข์ของเรามันอยู่ที่ไหน แล้วจะเข้าไปดับต้นตอของทุกข์ของเราได้อย่างไร 

แล้วเข้าไปดับต้นตอของทุกข์นั้นได้จริงมั้ย...เป็นผล นี่ ปัญญาเจริญ ...เมื่อมีเรื่องราวเกิดขึ้น ...อ๋อ กูนึกว่าสำเร็จไปแล้ว ยังไม่สำเร็จ เพราะกูยังโกรธมันอยู่ เอ้า ก็ได้รู้ว่ากิเลสมันยังมีน้อยมีใหญ่แค่ไหน

ยังมีตกค้าง ยังมีแอบเร้น ยังมีแฝงอยู่ มันยังมีหลบมุดหัวอยู่ที่ไหน ...เหล่านี้มันก็ ...อ๋อ มาเป็นเครื่องทดสอบ เครื่องวัดปริมาณกิเลสของตัวเจ้าของ ว่ามากขึ้น หรือน้อยลง หรือไม่มีแล้ว 

เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมมาสงเคราะห์ทั้งนั้น ไม่ได้เป็นแง่ร้ายทับถม ปิดบัง ขัดขวาง หรือแง่ชักลากให้เกิดความเนิ่นช้าแต่ประการใด มันดีทั้งนั้น ...ก็เรียนรู้ไป อยู่กับปัจจุบันกรรม อยู่กับอดีตกรรมที่มันส่งผลมา 

เพราะนั้นไอ้ตัวกายนี่ก็คือหนึ่งในกรรม ...คือวิบากขันธ์ วิบากกายที่ได้รับรูปทรงนี้ ทรวดทรงนี้ เป็นเพศนั้นเป็นเพศนี้ ...นี่มันถูกกำหนดมาโดยอำนาจของกรรม

แล้วมันจะส่งผลอย่างไร โรคภัยไข้เจ็บอย่างไร มันจะมีทุกขเวทนาประมาณไหน แล้วจะมีกี่โรครุมเร้ามั้ย แล้วมันบีบคั้นให้เกิดความทุรนทุรายทรมานมั้ย ...เหล่านี้กรรมเป็นตัวกำหนดหมด 

ก็เรียกว่าเราจะต้องครองวิบากขันธ์ วิบากกรรมนี้ อยู่กับมันจนวันตาย ...เพราะนั้นการที่เรียนรู้กับสภาพของมัน รู้ด้วย เข้าใจด้วย แล้วก็เกิดสภาวะที่ยอมรับกับมันได้มากขึ้นด้วย

เพราะมันไม่ได้อยู่อย่างนี้ตลอดเวลา มันไม่ตายตัวสนิทอยู่กับความปกตินี้หรอก  เดี๋ยวก็ได้เห็นความวิปริตขององคาพยพในอวัยวะต่างๆ ที่มันแปรเปลี่ยนไปตามหลายเหตุหลายปัจจัย

รวมทั้งกรรม พันธุกรรม อะไรต่างๆ นานาเหล่านี้ ...ที่มันเลือกไม่ได้จริงๆ ว่าใครจะเจออย่างไร ว่าใครจะแจ็คพ็อตในระดับไหน จะเลขท้ายสองตัว หรือรางวัลที่หนึ่ง ...แต่เจอแน่ ต้องเจอ

อย่างน้อยเวทนาตอนกำลังจะตายนี่ มันเผาจนเรียกว่า...ในก้อนกองกายนี้ ไม่มีส่วนใดขุมขนใดที่ไปอยู่แล้วมีความสุขเลย จิตจะอยู่ไม่ได้เลยในส่วนใดส่วนหนึ่งว่าเป็นความสุข

เออ แม้แต่ลมหายใจ ก็ยังไม่เป็นสุขเลย จิตไปวางไปแตะไม่ได้ มันร้อนมันอึดอัดไปหมด มันทุรนทุราย มันบีบคั้น ไม่ว่าจะวางที่นิ้วมือนิ้วเท้า ไม่ว่าจะวางในทรวดทรงท่าทางการนอนการนั่ง ผุดลุกผุดนั่ง 

มันจะเดือดร้อนเผาลนอยู่ จนไม่มีที่ให้เป็นสุขอย่างที่เราอยู่กันสบายๆ นี้เลย ...เจอทุกคน ...ต้องเป็นทุกคน


(ต่อแทร็ก 15/3)



  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น