วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 15/4 (1)


พระอาจารย์
15/4 (570601D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
1 มิถุนายน 2557
(ช่วง 1)


พระอาจารย์ –  เพราะนั้นความรู้ภายนอกนี่ มันไม่พาให้เกิดความสั้น จบ หรือคลายจาง ...แต่รู้ที่เดียว กายเดียว รู้ในศีล รู้ในปัจจุบัน รู้กับปัจจุบัน แค่นี้ แค่รู้ว่านั่ง ...เห็นมั้ย สั้นมั้ยล่ะ เรื่องน้อยลงมั้ย

เรื่องที่ต้องคิด เรื่องที่ต้องกังวลนี่มันถูกฟิกซ์ ถูกสำรวมไว้ ถูกควบคุมไว้ในระดับหนึ่ง เรื่องมันก็จะระงับไปชั่วคราวหนึ่ง ...นี่ สั้นลงแล้ว น้อยลงแล้ว

แต่มันก็เหมือนรถเข้าเกียร์ว่าง แล้วก็เหยียบคันเร่ง บรื๊นๆ ไว้น่ะ ...มันรอ แล้วมันพร้อมที่จะใส่เกียร์แล้วก็เหยียบคันเร่งให้วิ่งออกไปข้างนอกข้างหน้าตลอดเวลา

เพราะนั้นตัวสมาธิเป็นแค่ตัวชะลอ ระงับ ยังไม่ได้เข้าไปทำลายความทะยานของจิตโดยตรง ...ตัวปัญญาเท่านั้นจึงจะเข้าไปหยุดโดยสมบูรณ์ โดยสิ้นเชิงของจิต ด้วยความเข้าใจ ด้วยความถ่องแท้

แล้วมันจึงจะเข้าใจว่า...แล้วกูจะไปทำไม จะคิดทำไม จะคิดไปหาอะไร ...ไอ้ที่คิดนี่มันจะต้องหาอะไร และไอ้ที่หาอะไร คือมันมีอะไรให้หา มันจึงต้องคิดแล้วก็ต้องหา

แต่ถ้ามันมีปัญญา มีความเข้าใจแล้ว มันจะรู้เลยว่า จะคิดไปหาอะไร มันไม่มีอะไรให้หา ...เพราะไม่มีอะไรให้หา มันจึงไม่จำเป็นจะต้องคิดอีกต่อไป ...เพราะไม่มีอะไรจริงให้มันหา 

ถึงมี...ก็มีแค่หลอกๆ มันไม่เชื่อ มันไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ในความหลอกๆ นั้นนี่ เพราะเข้าใจ จิต ความคิดจึงเหมือนกับสั่งได้ จะคิดก็ได้ จะไม่คิดก็ได้ ไม่มีปัญหา ไม่เกินอำนาจการควบคุมของปัญญาเลย

แต่ในระดับสมาธินี่ ต้องคุมอย่างยิ่ง ...มันยังไม่มีปัญญา  ถ้าระดับสมาธิยังไม่เกิดปัญญาขึ้นมาน่ะ ...ยังต้องคุมจิตอย่างยิ่ง ปล่อยไม่ได้เลย 

ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจริงหมดเลย ทุกอย่างเป็นเรื่องที่สำคัญหมดเลย ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ใช่หมดเลย...ที่คิดน่ะ ถ้าปล่อยให้มันคิดได้นะ มันจะจริงกว่ากายนี้อีกๆ

เพราะนั้นต้องระงับแบบ...บอกแล้วไง เผด็จการเต็มรูปแบบน่ะ นั่น พอมันหยุดจริงๆ แล้วมันจึงจะเกิดปัญญา เห็นว่า...อ๋อ กายเป็นแค่นี้ กายแค่นี้ ไม่ใช่ “เรา” 

ตัว เรา” นี่คือปัญหา  ถ้ามี “กายเรา” ก็หมายความว่าจะต้องมี “จิตเรา” ...จิตเรานี่มันเนื่องด้วยกายเรา ถ้าไม่มีกายเราจะไม่มีจิตเราเลย จะไม่มีความคิดของเราเลย จะไม่มีอารมณ์ของเราเลย

แต่ที่มันมีจิต มีความคิดของเรา มันมีความเห็นของเรา มันมีอารมณ์ของเราเกิดขึ้นได้นี่ เพราะว่ามันยังมีความรู้สึกเมนใหญ่คือกายเรา กายของเรายังมี ...เมื่อยังมีกายของเรานี่ จิตของเราจึงมี...เป็นโยงใยออกมา

แต่เมื่อใดที่เรามาเห็นกายตามความเป็นจริง ว่ามันไม่ใช่เราอย่างไร มันเป็นแค่กองอาการหนึ่ง มันเป็นแค่กองความรู้สึกหนึ่ง มันเป็นแค่การรวมตัวกันขึ้นของธาตุในชั่วคราวหนึ่ง

ธาตุคือธาตุ คือสสาร พลังงานที่มันรวมกัน เป็นจุดตกกระทบเป็นจุดกลมกลืนผสมกัน เป็นโมเดลของมัน เป็นรูป ว่าตึง แน่น นี่คือการรวมตัวกันของอาการแล้วก็สลาย แล้วก็ไปรวมตัวในอาการนั้นอาการนี้ขึ้นมา

เนี่ย ถ้ามันเห็นโดยรวมโดยทั่วของกาย เป็นแค่นี้ การรวมตัวกันของอาการธาตุ แล้วเกิดเป็นความรู้สึกในธาตุ คือเวทนา ...มันก็ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล มันก็ไม่ใช่ของเราแต่ประการใด

การที่เห็นซ้ำๆ ซากๆ ลงตรงนี้ จึงจะไปทำลายความเชื่อว่า...นี้เป็นตัวเราของเราในกายนี้

เมื่อความเจือจางของกายเรา เจือจางลงปั๊บ คือยังไม่ถึงขั้นขาดหมด นี่ ความคิด...ความจริงจังในความคิด ความจริงจังในอารมณ์จะเจือจางลงไปพร้อมกัน

เพราะว่าเราเป็นผู้สร้างอารมณ์ เราเป็นผู้รับอารมณ์ จะจางไปพร้อมกัน  มันจึงไม่รู้สึกสุข-ทุกข์เข้มข้นเท่าเดิม ... สุข-ทุกข์จะไม่เท่าเดิม คือจะน้อยลง

ไม่ใช่ว่าเรื่องราวมันน้อยลงนะ ...การกระทำคำพูดก็เท่าเดิมนั่นแหละ  แต่ว่าความสุขความทุกข์ที่ได้จากการกระทำคำพูดที่ได้จากบุคคลนั้นๆ นี่ มันจะน้อยลง

เพราะว่าต้นเหตุคือเรานี่ มันอ่อนยวบลงไป มันไม่เข้มข้นเหมือนเดิม ...เพราะฉะนั้นอารมณ์ที่มันรับ เป็นสุขเป็นทุกข์ก็จะเจือจางลง

พอ "เรา" มันหมดสภาพเมื่อไหร่ ไม่มี...สุข-ทุกข์  จะไม่มียินดี จะไม่มียินร้าย ...เพราะยินดีเกิดขึ้นเพราะมีเรา ยินร้ายเกิดขึ้นเพราะมีเรา สุขมีก็เกิดเพราะเรา ทุกข์มีก็เกิดเพราะเรา 

ถ้ามันไม่มี "เรา" ... จะไม่มีทั้งสุขและทุกข์ปรากฏเลย ในการกระทบกันของอายตนะและผัสสะ ...มันจะเป็นการกระทบกันแบบเปล่าๆ ของมันเอง

เนี่ยคือการที่ว่า รู้ตัวทำไม ทำไมต้องรู้ที่กาย ทำไมจะต้องเอาศีลเป็นก้อนเป็นหลัก ...ไปทำที่อื่นไม่ได้ มันแก้ไม่ได้ มันแก้ไม่จบ มันแก้ไม่เป็นเบ็ดเสร็จ มันแก้ไม่เป็นสมุจเฉท

แล้วมันแก้แบบซ่อนไว้ใต้พรมน่ะ มันไปซุกด้วยวิธีอื่นน่ะ ...ถ้าไม่เริ่มที่กาย ถ้าไม่เริ่มที่ปัจจุบันศีลปัจจุบันกายแล้วนี่ ผิดหมด คลาดเคลื่อนไปหมด 

ถึงแม้จะดูยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างขนาดไหนในผลการภาวนานั้นๆ ก็ยังถูกหลอก จิตมันหลอกหมดเลย

แต่กายนี้จะไม่หลอก กายปัจจุบันจะไม่หลอก เขาจะเสนอแต่ความเป็นจริง ป้อนให้แต่ความเป็นจริง เปิดเผยแต่ความเป็นจริงให้เห็น ให้รู้...ตลอดเวลา 

โดยไม่อั้น โดยไม่ปิดบัง โดยไม่แอบ โดยไม่ต้องหาอะไรมาติดสินบนมันเลย  ...มันเปิดเผยด้วยความเป็นกลางต่อทุกสัตว์บุคคลเลย 

เพียงแต่เราเข้าไม่ถึงธรรมนี้ ...เพราะไม่รู้จักว่าธรรมอยู่ที่นี้ เพราะไม่รู้จักว่าศีลคือตัวนี้ เพราะไม่รู้จักว่าปัจจุบันธรรมคืออะไร ความเป็นจริงในปัจจุบันอยู่ตรงไหน 

ก็เริ่มไปหาความเป็นจริงสะเปะสะปะไปหมด เลอะเทอะเปรอะเปื้อน สับสนอลหม่าน ฟุ้งซ่านในธรรม แตกกระสานซ่านกระเซ็นในธรรม จนจับต้นชนปลายไม่ถูก

แต่ถ้ารวมธรรมมาเป็นหนึ่งตรงนี้ปั๊บ ทุกอย่างจะมองเห็นอะไรชัดเจนขึ้น กระจ่างขึ้น ไม่สับสน ...นี่ จะเรียบเรียงได้เป็นครรลองของธรรม

เพราะนั้นแม้แต่การที่เรายังไม่ลงมือเข้าไปปฏิบัติอย่างจริงจัง แล้วแค่ฟังแล้วแค่นึกน้อมตาม นี่ ยังมองอะไรด้วยความกระจ่างไกลขึ้นกว่าเก่าแล้ว เห็นมั้ย

แค่มองตรง มองต่อธรรมให้ตรง แค่มองเห็นต่อธรรม...โดยระดับจินตานะ ยังไม่ได้ลงมือภาวนาแบบจริงจังเต็มเนื้อเต็มตัวแบบรู้ตัวได้ต่อเนื่องตลอดเวลานี่นะ มันยังมองเห็นเส้นทางเลย

พอมองเห็นเส้นทางเลยว่า...มันน่าจะเป็นยังไงต่อไป มันจะหลุดพ้นได้ด้วยวิธีการใด มันจะออกจากความเป็นจริงของขันธ์และโลกอย่างไร ออกได้จริงๆ อย่างไร 

แล้วที่มันมาติดนี่ มาติดเพราะอะไร มาติดอยู่ในขันธ์ มาติดอยู่ในการเกิดการตายในกองขันธ์ซ้ำซากๆ เพราะอะไร ...เพราะมันมาหมายว่านี่เป็นเรา เกิดมากี่ครั้งๆ ก็ไม่ยอมรับว่า...มันไม่ใช่เรา

กระทั่งตาย มันก็ยังไม่ยอมตาย ไม่ยอมให้มันตาย ...เพราะมันกลัวว่า “เรา” ตาย มันไม่ยอมให้ “เรา” ตาย แล้วมันก็ตาย...ด้วยความที่ยอมไม่ได้อย่างที่ “เรา” ต้องการ

เห็นมั้ย มันไปบวกรวม "เรา" กับ "กาย" นี่จนเป็นเนื้อเดียวกันแบบแยกกันไม่ได้เลย เหล่านี้คือพันธนาการ นี้คือพันธนาการของจิต นี้คือพันธนาการของกิเลสต่อการเกิดตายในกองขันธ์ซ้ำซาก

แต่ถ้าทำลายพันธนาการนี้...ออกจากกาย ออกจากขันธ์เมื่อไหร่ ...การเกิดตายกับขันธ์ใหม่ในอนาคตนี่ จะเริ่มน้อยลงไปตามลำดับเลย

เนี่ย มันเป็นผลที่อ้างอิงได้ มันเป็นเหตุซึ่งอ้างอิงได้ ...ไม่ใช่ประหลาดมหัศจรรย์ แบบต้องไปให้นั่งทางในดูอ่ะ ...นี่คือพระพุทธเจ้าท่านพูดด้วยเหตุและผล ท่านพูดด้วยเหตุและปัจจัย 

ท่านไม่ต้องมาอาศัยหมอดูหมอเดาหรือผู้มีบุญบารมีมาคอยกำหนดหรือบอกชี้นำให้ว่า "เพราะอย่างนั้นนะ เธอไม่สามารถรู้ได้หรอก ต้องฉันคนเดียวเท่านั้นถึงจะรู้ได้" ...ไม่จริง

นี่มันตอบได้ทุกๆๆ ทุกข้อด้วยตัวเองเลย ...และมันไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่พยายามจะทำให้มันซับซ้อนขึ้นมา ว่าธรรมน่ะเป็นเรื่องซับซ้อนอย่างนั้นอย่างนี้ 

ว่าในระดับอย่างพวกเราๆ นี่ ไม่มีทางรู้ได้ถึงนิพพานหรอก ...นี่ ก็ว่ากันไป เหมือนกับไปปิดบังธรรมอยู่อย่างนั้น แล้วก็ว่าพูดไม่ได้ๆ เป็นของสูง ...มันสูงแค่ไหนวะ หือ

สูงจนเอามาใช้ไม่ได้เลยน่ะ ศีลสมาธิปัญญาในปัจจุบันนี่ มันสูงจนต้องเอาไว้บนหิ้งน่ะ เอาไว้กราบไหว้อย่างเดียวแล้วก็ขอหวย ...นี่ มีประโยชน์อะไร

พระพุทธเจ้าก็ไปอยู่บนหิ้งนั่น พระธรรมก็สร้างตู้พระธรรมไว้ พระสงฆ์ก็ว่าปล่อยให้ท่านอยู่ในป่านั่นน่ะ ไม่ต้องไปยุ่งกับท่านเพราะว่าคนละโลกกัน

เอ้า ก็เกิดมาเหมือนกันนะนั่นน่ะ ไม่ได้เกิดมาสี่แขนห้าหัวนี่ ไปแบ่งโลกท่านซะแล้ว ไม่ข้องแวะกัน ...มันก็เลยกลายเป็นพระอรหันต์นี่กลายเป็นตัวประหลาดไป

เหมือนเป็นมนุษย์ประหลาดมหัศจรรย์ untouchable แตะต้องไม่ได้ ข้องแวะไม่ได้ เป็นอะไรที่ไม่เหมือนคนธรรมดา นอนก็ไม่เหมือนคน กินก็ไม่เหมือนคน ...แล้วมันเป็นใครกันวะ

เนี่ย มันไปคาดหมายกันไป...จนไปเสกสรรปั้นแต่งพระอรหันต์กันซะจนกูล่ะงง ...พระอรหันต์คือตัวอะไรวะนี่ เหมือนคนรึเปล่า

แค่สองพันห้าร้อยปีนี่ พระพุทธเจ้า ไปดูสิ เปลวแหลมเปี๊ยบ นี่ สร้างกันขึ้นมา แล้วก็มีขมวดๆ ทั้งหัว มันใช่รึเปล่าก็ไม่รู้ อย่างเนี้ย คือไปปั้น แล้วก็เกิดความเกรงกลัว...คือด้วยความเคารพนะ ไม่ใช่ดูถูกนะ

พอมันเกรงกลัว มันก็เหมือนกับมีรั้วกั้น ...เหมือนท่านกับเรานี่พูดกันคนละภาษา เลยฟังท่านไม่ค่อยรู้เรื่อง ฟังทีไรก็หลับก่อนน่ะ ...คือตั้งใจจะไปหลับเลยนะ 

ถ้ารู้ว่าเป็นพระอรหันต์แสดงนี่จะต้องเป็นธรรมขั้นสูง ถ้าพูดอะไรออกมานะ ...มันก็เลยเป็นผู้ห่างไกล เพราะเราไปเข้าใจตีความเอา แล้วเราไปนึกถึงภาพลักษณ์ของท่านต่างๆ นานากันไป

จริงๆ น่ะ อย่างเรานึกถึงครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยะบางองค์ แล้วเรานึกถึงภาพท่านเวลาไปกราบท่าน แล้วจะรู้สึก...บางทีไปแล้วไม่เหมือนที่คาด 

เออ นึกว่าท่านจะเป็นอย่างนั้น นึกว่าท่านจะมีท่าทางแบบอย่างนั้นแบบอย่างนี้ หรือว่าพูดอะไรก็เป็นแต่เรื่องธรรมะล้วนๆ อะไรอย่างนี้

คือเราไม่รู้นิสัยหรอก แล้วเราไม่รู้ เรามองไม่ออกหรอกว่าอะไรเป็นอะไร มันก็เลยไปวาดภาพ...แล้วมันวาดภาพผิดนะ ...ซึ่งผลคืออะไร คือเวลามุ่งไปถึงจุดนั้น...มันก็จะปฏิบัติแล้วก็มุ่งไปสู่โมเดลที่ผิดนั้นน่ะ

คือมันสร้างโมเดลผิด ...แล้วมันก็จะมุ่งไปสู่โมเดลนั้น โดยเข้าใจว่าพระอรหันต์จิตจะต้องเป็นอย่างนี้ ท่าทางจะต้องเป็นอย่างนี้ การพูดการจาชีวิตจะต้องเป็นอย่างนี้

คือมันสร้าง แล้วก็พยายามจะไปเลียนแบบโมเดลนั้นขึ้นมา ...มันเลยเป็นอรหันต์ดิบ หรือเป็นอรหันต์ดิบๆ สุกๆ ประเภทซกเล็ก ...มันผิดสุขลักษณะนะนั่นน่ะ 

เนี่ย มันเกินธรรม ...น่ากลัวนะ เพราะจิตน่ะมันสร้างอะไรเกินไป


(ต่อ แทร็ก 15/4  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น