วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 15/9


พระอาจารย์
15/9 (570606A)
6 มิถุนายน 2557



พระอาจารย์ –  เป็นยังไงบ้างล่ะ ไม่ได้มานานแล้วนี่ ...ภาวนาหรือไปภาวนอน

โยม – (หัวเราะ) ภาวนอน

พระอาจารย์ –  มีศีลสมาธิปัญญาเป็นสรณะ ไม่ใช่เอาที่นอนเอาหมอนเป็นสรณะ

ถ้าห่างไกลศีลสมาธิปัญญามากเท่าไหร่ กิเลสครอบงำมากเท่าไหร่ การเผลอเพลินครอบงำมากเท่าไหร่ ความขี้เกียจขี้คร้านครอบงำมากเท่าไหร่ ...การจะเอี้ยวตัว หมุนตัวกลับมาสู่ธรรมนี่ มันยาก

เหมือนเรือที่มันออกนอกฝั่ง แล้วมันถูกคลื่นพัดพาออกไปนอกๆ ไปในทะเลลึก จนมันเข้าใจว่ามันจะไปหาฝั่งในฝัน เรียกว่าฝั่งฝัน เพราะที่ในทะเลลึกมันไม่มีฝั่ง

นี่ถ้ามันออกทะเลไปเรื่อย หาฝั่งไม่เจอ มันจะหาได้แต่ฝั่งฝันซึ่งไม่มีจริง ...ในความคิด ในอารมณ์ ในอดีต ในอนาคต มันก็ฝั่งฝัน ไม่มีฝั่ง ไม่ได้เป็นฝั่งเป็นฝา

ถ้าฝั่งฝามันต้องหันกลับเข้ามาชายหาด แผ่นดิน ...นี่่ ศีลสมาธิปัญญาคือฝั่ง 

แต่ถ้าปล่อย คือเหมือนเรือที่มันไม่มีสมอน่ะ ไม่มีหลัก ...ก็เอามาเทียบไว้กับชายฝั่งเฉยๆ ...อย่างพวกเราๆ นี่เป็นแค่เรือเทียบชายฝั่ง กำลังจะเทียบเข้าชายฝั่ง 

แล้วก็...เชือกก็ไม่มี หลักก็ไม่มา สมอก็ไม่อยู่ เอาทิ้งไว้ลอยๆ อย่างนั้น ให้มันเกยตื้นไว้อย่างนั้น ...แล้วไง ...พอน้ำขึ้น แล้วมันก็พาเรือไป พัดไป 

ก็ออกนอกฝั่งไป ไกลไปเรื่อยๆ มองเห็นฝั่งลิบๆ ไป ลิบๆ ลิบๆ ริบหรี่ จนหายไปจากครรลองสายตาเลย หาฝั่งไม่เจอล่ะ ...ทีนี้ก็มีแต่ฝั่งฝันล่ะวะกู

เพราะนั้นเมื่อใดที่เริ่มรู้สึกว่ามันเห็นฝั่งลิบๆ ...ถึงไม่มีพายก็ตาม มือตีนก็เอาล่ะวะกู ...จ้ำเข้าไว้ อย่าให้คลื่นมันซัดออกนอก 

คลื่นอารมณ์ กิเลสภายใน กิเลสภายนอก พวกนี้คือคลื่น ที่มันจะดึงให้ไปออกไกลจากฝั่งไปเรื่อยๆ ...ก็กลับเข้ามา ขึ้นฝั่ง ...อยู่บนฝั่ง  

ขึ้นฝั่งได้ยังไม่จบนะ ต้องเดิมข้ามฝั่ง จนสุดแผ่นดิน  ต้องข้ามฝั่ง ทิ้งเรือ ข้ามฟากข้ามฝั่ง จนพ้นฝั่ง ...สุดโลก สุดแผ่นดิน สุดขันธ์

เนี่ย ฝั่ง ...ฝั่งนี่คือขันธ์ ฝั่งคือโลกทั้งสาม ฝั่งคืออนันตาจักรวาล คือฝั่ง ...ก็ข้ามฝั่ง ข้ามฟาก คือข้ามฝั่งขันธ์ห้า นี่คือฝั่ง...ฟาก ...ข้ามฟาก 

ถ้าข้ามฟากไม่ทัน มันก็จะมาตกฟากใหม่...เกิดใหม่ ...ตกฟาก สมัยโบราณคนเขาเกิดบนฟาก เขาเรียกว่าตกฟาก นี่ เกิดก็มาตกฟาก เพราะข้ามฟากไม่ได้ ข้ามขันธ์ไม่ได้ ข้ามโลกไม่ได้

พอตกฟาก เกิดมาปั๊บ เกิดมา..ไม่ได้เกิดมาแต่กาย ไม่ได้เกิดมาแต่ขันธ์ ...มันเกิดมาพร้อมกับกิเลส มันเกิดมาพร้อมกับจิตปรุงแต่ง มันเกิดมาพร้อมกับความอยาก ความไม่อยาก

ตัวนี้มันก็จะไปสร้างคลื่น แล้วมันก็จะไปเอ็นจอย คลุกเคล้ากับคลื่นภายนอก ...ก็กลายเป็นกระแสคลื่นใหญ่ที่มันจะพัดออกนอกฝั่ง...ฟากฝั่ง ไปเรื่อยๆ

ไปตกระกำลำบากอยู่ในทะเลลึก ห้วงมหรรณพ มหาสมุทรแห่งทุกข์ หรือมหาสมุทรแห่งสังสารวัฏนั่นเอง ...กว่าที่มันจะหาทางกลับเข้าฝั่ง หรือว่ามีผู้ชี้ฝั่งให้  

เนี่ยคือฝั่งจริงนะ ไม่ใช่ฝั่งฝันนะ ...ศีลสมาธิปัญญาคือฝั่งจริงนะ ไม่ใช่ฝั่งแห่งความฝัน

แต่ว่าเรือหลายสิบล้านนับไม่ถ้วน มากมายมหาศาล คณานับเลย ...ต่างคนต่างชี้ไปที่ฝั่งฝันหมดเลย แล้วก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยกัน  ก็เลย...เรียกว่าตายหมู่ ตายยกรัง อยู่ในทะเลนั่น สังสารวัฏ

เพราะนั้นผู้ที่พายเรือออกนอกฝั่งไปเรื่อยๆ นี่ แต่งขาวก็มี แต่งสีก็มี ห่มเหลืองก็มี โกนหัวก็มี มีหมดน่ะ ทุกประเภท ทั้งห่มกรัก ห่มเหลืองห่มส้ม ห่มสีแก่นขนุนก็มี ...มีหมดน่ะ ไม่ใช่ไม่มี

แล้วก็มีเสียงตะโกนอยู่บนฝั่งปาวๆ ว่าฝั่งอยู่นี่ๆ มันก็ไม่ฟัง ก็จะไปเรื่อยๆ ลึกเข้าไปๆ ...มันไม่ได้ลึกเข้าไปในฝั่ง มันลึกเข้าไปในทะเลลึก ที่ไม่แม้แต่ฝั่ง

นั่นเขาเรียกฝั่งฝัน ฝั่งฟากที่ไม่มีจริง แต่ดูเหมือนมีจริง ...ก็เลยได้แสดงหนังเรื่องอินเดียน่าโจนส์ ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า หากันไปเข้าไป 

เขาบอกว่ามี ก็มีวะ เขาว่าใช่ก็ว่าใช่ เขาบอกว่าถูกก็ว่าถูก ...เอาอะไรมายืนยัน ไอ้ตัวคนพูดมันเอาอะไรมายืนยัน ตำราเหรอ ลายแทงที่ยังไม่ได้พิสูจน์

เพราะนั้นเอาอะไรเป็นตัวยืนยัน ...เอาศีลสมาธิปัญญาเป็นตัวยืนยัน เอาความเป็นจริงของศีลสมาธิปัญญาเป็นตัวยืนยัน ...เพราะศีลสมาธิปัญญาเป็นตัวที่มีอยู่จริงในปัจจุบัน ตัวนี้เป็นตัวยืนยันว่าจริง 

ศีลสมาธิปัญญานี่มีก่อนพระพุทธเจ้าอีก มรรคนี่มี...มีก่อนพระพุทธเจ้าด้วย ...มีอยู่ตลอดเวลาเลย  แม้แต่พระพุทธเจ้าหมดไป อายุพระศาสนาหมดไป มรรคก็ยังมี ศีลสมาธิปัญญาก็ยังมี ไม่เคยหาย

แต่มันถูกกลบบัง แล้วไม่มีใครหาเจอด้วย ...จนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ขึ้นมา 

พระพุทธเจ้านั่นแหละจึงเป็นผู้แรกที่เจอฝั่ง เห็นฝั่งคนแรก แล้วก็เข้าสู่ฝั่งเป็นคนแรก แล้วก็ข้ามฝั่งเป็นคนแรก แล้วจึงมายืนยันกับคนในโลกสามโลกนี้ ว่าฝั่งนี่มีจริง ศีลสมาธิปัญญามีจริง ณ ปัจจุบันนี่เอง

อย่าไปหากินเอาดาบหน้า ตายเอาดาบหน้า ไปหาตกปลาตกเบ็ดอยู่กลางทะเล ไปหาปลาทู ปลากะพง ปลาสร้อย ปลาเข็ม ปลาฉลาม กุ้ง กั้ง ตะพาบ ...กิเลสต่างๆ นานา

ก็ไปเอร็ดอร่อยอยู่กลางทะเล เรากินมันบ้าง มันกินเราบ้าง เรากินมันบ้าง สลับกันไป สรวลเสเฮฮากันไป ก็ลอยคอกันอยู่ในทะเล แล้วก็ถูกกลืนกินไปบ้างอย่างนั้น

บางคนวาสนาบุญต่ำก็ลอยคอกลางทะเลไป บางคนมีบุญวาสนาบารมีหน่อยก็มีเรือมารับ  ก็อิ่มเอมเปรมปรีด์อยู่บนเรือว่าสบายแล้ว ไม่จมน้ำ ไม่เปียกน้ำ 

ก็หลงบุญหลงบาปกันไป เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนั้น ...เมื่อไหร่จะถึงฝั่ง เมื่อไหร่จะเจอฝั่ง เมื่อไหร่จะข้ามฝั่ง 

เจอฝั่ง รู้ฝั่งแล้ว เห็นฝั่งแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะจบงาน ...เจอแล้ว เอาให้อยู่ๆ อย่าไปตามคลื่นลม ที่มันจะพัดพาออกนอก ส่งออกนอก

จิตส่งออก จิตส่งนอกนี่ นั่นน่ะคือคลื่นของกิเลสที่มันส่ายซัดไปมา เป็นระลอกคลื่น ไม่มีวันสงบ ไม่มีวันนิ่งหรอกในตัวของมัน ...ถ้าโดยวิถีของจิต มันจะไม่หยุดโดยตัวของมันเองได้

จนกว่าจะขึ้นมายืนอยู่บนฝั่ง มันก็จะไม่โดนระลอกคลื่นมากระเซ็น กระสาน โดนเนื้อโดนตัว ...นี่ ต้องอยู่บนที่แห้ง ไม่เปียกชุ่มไปด้วยกิเลสรัดใจ

กลับมายืนอยู่บนศีล กลับมายืนอยู่บนกายปัจจุบัน กลับมาอยู่กับกายปัจจุบัน นั่นแหละคือฝั่ง ...แล้วการพิจารณากายทุกเมื่อเชื่อวัน ทุกเวลานาทีวินาที นั่นน่ะการพิจารณากาย...เรียกว่าการข้ามฝั่ง

เมื่อข้ามฝั่งแรกได้ มันก็จะไปเจอฝั่งที่สอง เขาเรียกว่ารูปโลก รูปราคะ  ข้ามฝั่งที่สองได้ ก็เรียกว่าอรูปโลก อรูปราคะ  ข้ามไปเรื่อยๆ จนสุดขอบฟ้าอรูปพรหม อรูปโลก

จนข้ามพ้นอนันตาจักรวาล สามโลกธาตุ ที่สุดของโลกธาตุทั้งสาม ...นั่นแหละจึงจะเข้าสู่ความเวิ้งว้างที่ไม่มีประมาณ ถึงนิพพาน เหนือกว่าฝั่ง

ตรงนั้นน่ะ ไม่มีที่จบ ไม่มีการเกิดการดับ ไม่มีการจมการลอย ไม่มีทั้งสุขและทุกข์ ไม่มีทั้งตัวตน และไม่มีทั้งไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรคือไม่มีอะไร เป็นอนันตมหาสุญญตา

แต่ตอนนี้ มันเป็นนักภาวนาแบบลูกผีลูกคน เปียกม่อล่อกม่อแลกเหมือนลูกหมาตกน้ำ ...ก็ต้องตะเกียกตะกาย ทวนกระแสคลื่นเข้ามาหาฝั่ง 

แล้วจับฝั่งให้ได้ ยืนอยู่บนฝั่งให้มั่น เดินอยู่บนฝั่งให้พ้นน้ำ พ้นกระแสของกิเลสที่มันจะพัดพาไป จม ดิ่งลงไปในก้นบึ้งของอารมณ์ ก้นบึ้งของกิเลส 

มันจมแบบเต็มเนื้อเต็มตัวมิดหัวมิดหูน่ะ เต็มไปด้วยความลุ่มหลงมัวเมาไปในความคิดในความปรุง ในอดีตในอนาคต ในเรื่องราวต่างๆ เรียกว่ามันจมแบบมิดหัวมิดหูน่ะ 

แล้วเวลาที่มันจมอยู่มิดหัวมิดหูน่ะ มันจมได้ไม่นานมันก็จะเกิดอาการทุรนทุราย เพราะมันหายใจไม่ออก มันสำลักน้ำ ...นั่นน่ะคือทุกข์อุปาทาน 

พอมีสติระลึกได้ ผุดขึ้นมาได้...ก็แค่ชั่วอึดใจนึง แล้วมันก็จมลงไปอีก ...เพราะมันอยู่กลางมหาสมุทร มันไม่มีฝั่งให้พักให้ได้หายใจ

เพราะนั้นศีลสมาธิปัญญา มันเหมือนเป็นฝั่งที่ขึ้นมายืนได้พ้นน้ำ มันหายใจได้สะดวก ...แล้วมันมีกำลัง 

พอมันอยู่หายใจแรงๆ นานๆ ได้ มันก็เกิดกำลังที่สมบูรณ์ มีพละกำลังวังชาแล้วก็ก้าวเดินไป ในที่เบื้องหน้าบนฝั่ง ที่มันก้าวไปที่ไหนก็เดินได้

ไม่เหมือนตอนอยู่ใต้น้ำ อยู่ในน้ำ ที่มีแต่ทุกข์ๆ หายใจไม่ออก จมเมื่อไหร่ก็เดือดเนื้อร้อนใจ ก็ต้องดิ้นรนขวนขวายหาเรือหาแพ ...บางคนก็เจอ บางคนก็ได้ บางคนก็ไม่ได้ 

บางคนก็ได้เรือผุๆ บางคนก็ได้เรือที่ยืนได้คนเดียว แตกต่างกันไป ...แต่ยังไงก็อยู่ในมหาสมุทรเหมือนกันนั่นแหละ เดี๋ยวเรือมันก็ชำรุดจนได้ วันยันค่ำ

มายืนบนฝั่งสบายใจกว่าเยอะ ...ผู้ที่เข้าถึงศีลอยู่กับศีล ผู้ที่เข้าถึงศีลด้วยใจแล้วนี่ จึงเรียกว่าเป็นผู้ที่จะไม่ลงทะเลอีกแล้ว ไม่ออกนอกทะเลอีกแล้ว 

ก็ไปหาดื่มหากินเอาในป่าในเขา มันมีน้ำสะอาดอยู่ ไอ้นี่น้ำเค็มกินไม่ได้ ตัวก็เปื่อย ...อยู่บนฝั่งก็มีที่หาอยู่หากินไปตามประสา ... มีการเดินไปในองค์มรรค

เพราะนั้นว่าฝั่งนี่ มันมีอยู่แล้ว...ตลอดเวลา ...เพียงแต่เรามองข้าม มองผ่านมันไป ละเลยมันไป 

พอมองข้าม มองออก จิตมันจะส่งออกไปพร้อมกับเห็น ความคิดมันก็โผล่ไป จิตมันพุ่งออกไปก็ส่งไปกับความคิด ทะยานออก  หรือมีเสียง มันก็วิ่งออกไปอยู่กับเสียง ...มันออกนอกฝั่งอยู่ตลอดเวลา

มันพัดพาไป ออกนอกกาย ออกนอกปัจจุบันกาย ออกนอกศีล ออกนอกมรรค ออกนอกทางเดินที่จะก้าวข้ามขันธ์ได้ ...มันจึงก้าวไม่พ้นขันธ์ มันจึงก้าวไม่พ้นโลก มันจึงไปไม่ถึงที่สุดของโลกสักทีนึง 

นี่ มันไปที่สุดของขันธ์ไม่ได้ ...อย่าว่าแต่ขันธ์ใดขันธ์หนึ่งเลย อย่าว่าแต่ขันธ์ห้าเลย ...แม้แต่ขันธ์หนึ่งขันธ์ใดยังข้ามไม่ได้สักขันธ์นึงเลย


(ต่อแทร็ก 15/10)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น