วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 15/8 (2)


พระอาจารย์
15/8 (570602D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
2 มิถุนายน 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ :  ต่อจากแทร็ก 15/8  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  
เพราะนั้นการรู้ตัว รู้ที่เดียวนี่แหละ แล้วมันจะแจ้งในทุกกองขันธ์ แล้วมันจะแจ้งในทุกอาการของโลก โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า...ทำเพียงแค่นี้เองหรือ รู้กับกายธรรมดาปกติแค่นี้เองเหรอ

พอถึงปัญญาที่มันไปเปิดรูปกายออกแล้วนี่ หรือทำลายรูปกายที่มันครอบกายออกแล้วนี่ จะเข้าใจโดยกระจ่างเลยขันธ์ทั้งหลายนี่ จะเข้าใจโดยตลอดของโลกและสามโลกธาตุเลย...ว่ามันเนื่องกันยังไง

มันมีอะไรเป็นตัวขีดคั่นแบ่งชั้นระหว่างสามโลกนี้ มันก็จะเข้าใจ ...ถ้ามันได้เปิดรูปออก ทำลายรูปลงไป เรียกว่า กามภพ รูปภพ ถูกทำลายแล้ว  มันจะเปิดหมด...สามโลก...เป็นธรรมเดียวกันหมดอย่างไร

แต่ถ้าทำความแจ้งในกาย ละรูปในกาย ทำลายรูปกายไม่ได้ ...จบ ไปไหนไม่รอด  ไม่สามารถทำความรู้โดยตลอดในธรรมทั้งปวงได้ 

ที่ว่า...สัพเพธัมมา จะไม่บังเกิดขึ้นเลย ...จะไม่เห็นความเป็น สัพเพธัมมา อนิจจา  สัพเพธัมมา ทุกขา  สัพเพธัมมา อนัตตา ได้เลย


ให้ตั้งใจเหมือนเดิม เท่าเดิม ... อย่าเปลี่ยนที่ อย่าไปเห็นดีเห็นงามในที่อื่น แค่นั้นเอง 

ต้องเห็นดีเห็นงามในศีลสมาธิปัญญา อย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีเงื่อนไข ...อย่างนี้เองจึงจะเรียกว่า ตรงต่อการปฏิบัติ ตรงต่อมรรค ...แล้วจะไม่เสียเวลา

แต่ถ้ายังไปเห็นดีเห็นงามกับอะไรที่นอกเหนือจากศีลสมาธิปัญญา นั่นน่ะคือความเนิ่นช้าหมด ...ไม่ว่าจะเป็นธุระหน้าที่ในการงาน ไม่ว่าจะเป็นการงานในบุญกุศลก็ตาม 

หรือไม่ว่าจะเป็นการงานในธรรมสงเคราะห์อะไรก็ตาม เหล่านี้ล้วนแต่เป็นช่องว่าง เปิดช่องว่างให้จิต มันออกนอกศีลสมาธิปัญญา ...ทำให้เสียเวลา

แล้วก็จะไปติดผลที่มันได้...เป็นบุญก็จะติดบุญ บาปก็จะติดบาป กุศลก็จะติดกุศล อกุศลก็จะติดอกุศล 

แล้วก็ต้องไปวุ่นวี่วุ่นวายกับกุศล-อกุศล ซึ่งมันเป็นวิบากที่มันเสวยขึ้นมา ปรากฏขึ้นมา ...จากการกระทำที่ปล่อยให้จิตมันไปไขว่คว้าค้นควานอยู่ในนั้น หรือว่าไปเผลอเพลินหลงใหลอยู่ในนั้น

แต่ถ้ามุ่งมั่นในศีลสมาธิปัญญา ไม่เปิดช่อง...จะไม่เปิดช่องให้จิตนำพากายขันธ์นี้ วาจานี้ ไปในเส้นทางเหล่านั้น ...นี่ก็เรียกว่าดำรงอยู่ในมัชฌิมา ท่ามกลางกายใจถ่ายเดียวเท่านั้น

ตัวนี้คืออัตราเร่ง...อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้ที่เดียว มีอยู่สองสิ่งกาย-ใจแค่นั้นเอง ...ถ้ามันอยู่ได้แค่นี้ โดยที่ไม่มีอะไรมาแผ้วพานมันเลยนี่ นั่นน่ะเร็ว


ผู้ถาม –  ยังพยายามอยู่ครับอาจารย์

พระอาจารย์ –  อือ


ผู้ถาม – (กล่าวขอขมา) ...คราวหน้าคิดว่าควรจะดีกว่านี้ฮะ

พระอาจารย์ –  อย่าไปคาดอดีต-อนาคต


ผู้ถาม –  พยายามจะสม่ำเสมอครับ

พระอาจารย์ –  ทำความรู้ให้มั่นคงในปัจจุบันเท่านั้นน่ะ มันจะเป็นตัวบ่งบอกถึงอดีตและอนาคตเอง


ผู้ถาม –  เมื่อเดือนที่แล้วอาจารย์บอกจะตกจากเนยยะได้น่ะ เลยฟิตจัดเลย

พระอาจารย์ –  ก็ดีแล้ว


ผู้ถาม –  ไม่ได้ล่ะ ขนาดเนยยะยังกระเสือกกระสนแทบตาย ตกเนยยะนี่หมดสิทธิ์เลย

พระอาจารย์ –  อย่าให้จิตมันตกต่ำ


ผู้ถาม –  ครับ ต่อไปนี้ผมไม่ยอมแล้วครับอาจารย์

พระอาจารย์ –  คำว่าตกต่ำนี่ไม่ได้หมายถึงอกุศลอย่างเดียวนะ ...การปล่อยจิตไปในที่...ที่ไม่มีตัวไม่มีตน นี่ก็ตกต่ำ


ผู้ถาม –  ก็พยายามครับอาจารย์ ...ผมต้องใช้เวลา

พระอาจารย์ –  ต้องทวน ต้องทวนอย่างแรง ...กับบาปก็แรง กับบุญก็แรง บอกให้เลย แรงทั้งสองอย่าง ...บาปก็ยาก บุญก็ยาก ในการทวนเหมือนกัน

มาตรงที่มันไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป คือเป็นกลางๆ กายธาตุ ธาตุขันธ์นี่ ...ธาตุนี่คือกลาง ไม่มีอารมณ์ในนี้ ต้องอยู่ตรงนี้ แล้วต้องคุ้นให้ได้


ผู้ถาม –  พยายามอยู่ครับ ตัวเองก็ทั้งๆ ที่เห็นมาเยอะแยะแล้วอาจารย์

พระอาจารย์ –  ต้องทำความคุ้นกับศีลสมาธิปัญญา ต้องทำความคุ้นกับอารมณ์ในศีลสมาธิปัญญา คือมันจะเป็นอารมณ์กลางๆ ...สังขารุเบกขา อยู่อย่างนี้ 

ม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ ไม่มีดี-ไม่มีไม่ดีกว่านี้ เท่าเนี้ย พอดี ...ต้องให้คุ้นให้ได้ ไม่คุ้นก็ต้องฝืน ฝืนทน

ฝืนทน เพราะว่ามันไม่มีรสชาติ ...มันจะไปหารสชาติต่างๆ นานา มันจะกินอันที่คุ้นลิ้นน่ะ


ผู้ถาม –  แต่ยังดีที่ยังเห็น ยังห่างออกไป

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ ให้เท่าทันไว้ ให้เห็นว่าเมื่อใดเวลาใดที่มันเข้าไปเสวย


ผู้ถาม –  ก็เหมือนมีอะไรมาครอบคลุมไว้ ...พยายาม แต่มันก็ไม่ทันแล้วอาจารย์ คือเห็นไปแล้ว ก็ได้แค่เห็นน่ะ แต่มันอยู่ไม่ได้

พระอาจารย์ –  กิเลสเกิดก่อนนะ ...สติสมาธิปัญญาตามหลังอยู่แล้ว


ผู้ถาม –  ครับๆ

พระอาจารย์ –  จนกว่ามันจะเท่าทัน พึ่บๆ อย่างนี้เลย


ผู้ถาม –  แต่มันเหมือนจะเร็วขึ้นมานิดหน่อยแล้วอาจารย์ เมื่อกี้พอฟังเทศน์เข้าไป มันครอบแป๊บเดียว

พระอาจารย์ –  มันจะลงภวังค์หลวงอยู่เรื่อย


ผู้ถาม –  เป็นระยะอาจารย์ ...ก็ดูว่ามันจะดีขึ้นบ้างมั้ย


ผู้ถาม –  ขออนุญาตครับ ของแม่เขาเป็นยังไงบ้าง เดี๋ยวเขาถามขึ้นมา

พระอาจารย์ –  ไม่เป็นไงหรอก อย่าไปปล่อยเนื้อปล่อยตัว อย่าไปหาอะไรที่นอกเหนือจากกายใจ อย่าลืม อย่าไปคิดว่าอะไรดีกว่ากายใจ 

อารมณ์ในจิตทั้งหลาย สภาวธรรมในจิตทั้งหลาย อย่าคิดว่าดี อย่ามัวแต่ไปหา อย่ามัวแต่ไปทรงสภาวะนั้น ...ต้องทรงรู้กับทรงกาย สองอย่างที่ต้องทรง...ทรงศีล-สมาธิไว้ เรียกว่าทรงศีลสมาธิ

ต้องอยู่ด้วยศีลสมาธิ คือกายกับรู้ ...ไม่ใช่ทรงอารมณ์ ไม่ใช่ไปทรงอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง หรือไปสร้างอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเพื่อไปทรงไปครองไว้


ผู้ถาม –  แสดงว่าเขาติด เข้าไปอยู่ในความฟุ้งซ่านหรือ

พระอาจารย์ –  อารมณ์ ...แล้วก็พยายามจะไปแก้อารมณ์ แล้วก็พยายามจะสร้างอารมณ์ที่ดี


ผู้ถาม –  อ๋อ ก็เป็นตัวเดิมๆ เขาก็เป็นบ่อย

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ ละได้ยาก...จิต บอกแล้วว่า ละได้ยาก แล้วมันเคยทำ แล้วมันเคยคุ้น 

ถึงบอก ...ต้องทรงรู้ ต้องทำความรู้ให้ชัด...ว่ารู้คือยังไง กายคือยังไง  ทรงสองสภาวะนี้ เรียกว่าทรงศีลสมาธิปัญญา


ผู้ถาม –  เขาเคยเห็นสภาวะที่ทรงรู้กายอยู่แล้วใช่ไหมอาจารย์

พระอาจารย์ –  ใช่ ...นั่นแหละ คือที่ที่ควร


ผู้ถาม –  ก็แค่แนะนำว่าที่ที่ควร ให้เขาเอาไปปรับเอาเอง เพราะพูดมากเขายิ่งฟุ้งซ่าน ...ขอบคุณครับอาจารย์ ขอบคุณแทนแม่


ผู้ถาม –  แล้วของผมล่ะครับ

พระอาจารย์ –  ไม่เป็นไรหรอก ...อย่าคิดมาก อย่าไปห่วง อย่าไปกังวลกับอะไร คนไหน เรื่องราวใดๆ เกินกว่ากายใจเจ้าของ  

เมื่อรู้เมื่อเห็นทันแล้ว...รีบละ ... อย่าไปเยิ่นเย้อ ทั้งในแง่ดี แง่ช่วย แง่อะไรก็ตาม ...มันเสียเวลาหมดแหละ 

เพราะการเรียนรู้กายนี่ มันต้องใช้เวลาจมหรือว่าจ่อแบบไม่เคลื่อนเลย นี่ ต้องใช้เวลาในระดับนั้น...หลาย...พอสมควรเลยทีเดียว กว่าจิตมันจะยอมเชื่อว่ากายนี้ไม่ใช่เรา

แต่ถ้าขาดๆ วิ่นๆ  ขาดๆ แหว่งๆ  ขาดๆ ร่วงๆ ...มันไม่เชื่อหรอก ไม่เชื่อได้ง่ายๆ เลย ...มันจะไม่เชื่อว่าไม่ใช่เราได้ง่ายๆ เลย 

มันจะกลายเป็นเชื้อที่ดื้อยา เหมือนเชื้อที่ดื้อยา ...แล้วยังไง เชื้อดื้อยาต้องให้ยาแรงนะ มันจะต้องให้ยาแรง

แต่ถ้าเราคอยกำกับ กำราบกิเลสไว้...ด้วยศีล สติ ...ถ้ามันคิดนิดคิดหน่อย เพื่อคนนั้นเพื่อคนนี้ เพื่ออดีตเพื่ออนาคตที่ดี อะไรอย่างนี้ ไม่เอา ไม่ต้องไปโปรเจ็คท์อะไรน่ะ

เนี่ย แค่เนี้ย ...ไม่ได้มีชีวิตเพื่อคนอื่น ไม่ได้มีชีวิตเพื่ออนาคต ...มีชีวิตเพื่อศีลสมาธิปัญญาในปัจจุบัน แค่นี้เอง แล้วก็หักอาลัยหักอาวรณ์ในความเป็นสัตว์บุคคลต่างๆ นานา

แล้วทุ่มเทลงไปในศีลสมาธิปัญญา คือกายใจปัจจุบัน โดยไม่ว่างเว้นเลย ...นั่นแหละ เติมเต็มศีลสมาธิ แล้วปัญญาก็เจริญงอกงามขึ้นมาท่ามกลางศีลสมาธินั่นแหละ

ปัญญาไม่ไปเจริญที่อื่นนะ ... เจริญอยู่ท่ามกลางศีล...สมาธิเท่านั้น


....................................



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น