วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แทร็ก 15/36 (2)


พระอาจารย์
15/36 (570729C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
29 กรกฎาคม 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 15/36  ช่วง 1 

พระอาจารย์ –  เหล่านี้เราจะต้องมาทำความรู้ตัวให้สำคัญให้มาก ยืนหยัดตั้งมั่นให้ได้อยู่บนฐานแห่งความรู้ตัว ...จนต่อไป มันเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญมาก-น้อย มันก็ลดน้อยลงไป

จนแม้กระทั่งจิตเล็กจิตน้อย สะเก็ดแห่งความคิดนี่ มันยังไม่เอาไว้เลย ไม่ไปปล่อยให้มัน แม้แต่จิตนิดหน่อยที่นึกคิดไปในเรื่องใด หรือจะสร้างเรื่องเต้าเรื่องอะไรขึ้นมา มันก็ยังไม่ปล่อยให้มันออกมาได้เลย

เพราะมันจะเห็นเลยว่า เหล่านี้ ทุกดวงจิตที่นึกคิด...จะเป็นเรื่องใหญ่โต หรือเรื่องแค่นิดหน่อย มันจะเห็นเลยว่าทั้งหมดนี่ มันเป็นตัวที่เซาะกร่อนศีลสมาธิปัญญา กัดกร่อนความมั่นคงของศีลสมาธิปัญญาได้หมดเลย

มันเห็นกระทั่งเข้าใจเลยว่า น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน ...แค่น้ำหยดเดียว ถ้าจิตผู้ปฏิบัติจะเห็นเลยว่า แค่จิตคิดนึกขณะเดียวนี่ ก็เหมือนกับน้ำหยดลงหินน่ะ มีสิทธิ์ที่จะทำให้ศีลสมาธิปัญญานี่แตกสลายได้

ท่านไม่เอาไว้เลย ท่านชำระทันทีทันควันเลย ไม่รอให้มันเป็นเรื่องใหญ่ก่อนค่อยละ ไม่รอให้เป็นความคิดใหญ่ๆ อารมณ์แรงๆ ค่อยละ ค่อยทำ...ไม่ใช่เลยนะ

ท่านจะอยู่ด้วยความพรักพร้อมอย่างเต็มรูปแบบ ไม่มีคำว่าผ่อนผัน ไม่มีคำว่าผ่อนปรนต่อกิเลสตัวใดตัวหนึ่งเลย ...ถือว่าจิตทุกดวง คือกิเลสหมด 

ที่เราเรียกว่าไม่ให้กิเลสเป็นใหญ่ เราหมายถึงจิต เพราะกิเลสมันเกิดที่จิต มันไม่ได้เกิดที่กาย มันไม่ได้เกิดที่ใจ ...จิตทั้งนั้น มันไม่ได้มาจากไหนเลยนะ มาจากจิต

เพราะนั้นจิตทุกดวงเราถือว่าเป็นกิเลสหมด ออกมาจากความไม่รู้ ก็ออกมาจากอวิชชา ออกมาจากความมืดบอด ...มันจะไปหาแสงสว่างที่ไหนได้ มันจะพาไปสู่แสงสว่างไหนได้ หือ

ก็ตัวมันคือความมืดบอดน่ะ แล้วมันก็ออกมาจากโคตรเหง้าคือความมืดบอด มีหรือมันจะพาไปสู่แสงสว่าง ...มันก็มืดบอดวันยันค่ำ

แต่มันมาหลอกล่อด้วยการมาสร้างนิมิตหมายเป็นแสงสว่าง แล้วก็หลอกว่านั่นน่ะคือความสว่าง นี่ ...แต่ถ้าสืบค้นทบทวนรากเหง้า จะเห็นเลยว่า มันมาจากความมืด มันจะสว่างได้ยังไง

มันคือความปรุงแต่งสังเคราะห์ให้เกิดสีสันวรรณะ สภาวะจิต สภาวธรรมนั้นสภาวธรรมนี้อะไร มันปรุงแต่งหลอกเข้าไปได้จนถึงอรูปภพ อรูปนาม อรูปธาตุ

นั่น มันยังสามารถทำได้หมด ว่าเป็นอารมณ์นั้นอารมณ์นี้...ที่ดี ที่เลิศ ที่วิเศษ...ท่านเรียกว่าอภิปุญญาภิสังขาร ก็ต้องละก็ต้องเลิกโดยทันที

คงไว้แต่กายใจเท่านั้นเอง ในทุกที่ทุกสถาน ทุกกาลทุกเมื่อ ...ไม่เว้น ไม่มีคำว่าเว้น ไม่มีคำว่าว่างเว้น ต้องเติมเต็มศีลสมาธิปัญญาทุกเมื่อทุกปัจจุบัน ไม่ขาด ไม่ให้อะไรมาสำคัญกว่า

ฝืน ทวน กับสิ่งที่มันเคยให้ค่าให้ความสำคัญ ...จนศีลสมาธิปัญญาเป็นหนึ่ง เป็นเอก เป็นสาระแก่นสารอย่างยิ่ง แล้วทุกอย่างจะหมดราคาไปเอง หมดราคาพร้อมกับหมดความหมายไปในตัวของมัน

ทีนี้มันจะเอาอะไรมาหลอกล่ะ มันหลอกไม่ได้แล้ว รูปสวย เสียงเพราะ อะไรพวกนี้หลอกไม่ได้แล้ว ความคิดในข้างหน้าข้างหลังอดีตอนาคต มันจะมาหลอก เอาอะไรมาหลอกไม่ได้แล้ว

มันเห็นชัด เห็นจนทุกอณูเซลเลยว่า ล้วนแล้วแต่ความหลอกลวง คือปรุงแต่งขึ้นมาล้วนๆ หาความเป็นตัวตนที่แท้จริงไม่มีเลย หาความเที่ยงแท้ถาวรคงทนก็ไม่มี

เนี่ย เขาเรียกว่าสารระเหย อย่าไปเมาสารระเหยมาก เดี๋ยวมันจะบ้า โดนเข้าโรงพยาบาลบ้าเหมือนพวกเมาสารระเหย ดมกาว เนี่ย ติดอารมณ์ พวกนี้ คืออารมณ์

ชื่อก็บอกแล้วว่าลม ติดอารมณ์ อะไรก็ไม่รู้ ...แต่เวลาติดมันไม่เรียกว่าอารมณ์อะไรก็ไม่รู้ มันจริงจัง จริงจังจนน้ำหูน้ำตาไหล ร้องไห้ หัวเราะระริกระรี้ กระโดดโลดเต้นเลย ตีอกกระทืบเท้าก็ยังได้นะ

มันจริงจังขนาดนั้น เนี่ย ติดสารระเหย เมายา ..ถ้ามันออกไปเมื่อไหร่ มันจะไปเมากับอารมณ์ มัวเมา ...แล้วดูท่าทางไม่ออกด้วย เพราะคนในโลกมันเมาทั้งโลก เหมือนกันหมดเลย

เพราะนั้นมีที่เดียวเท่านั้นน่ะที่คนดีอยู่ คนบ้าเข้าไม่ถึง คือที่ศีลสมาธิปัญญาปรากฏอยู่ ที่นี้ปลอดภัย 

เอ้า เอาล่ะ


โยม – (กล่าวขอขมา) สิ่งใดที่ได้ล่วงเกินพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ข้าพเจ้าทั้งหลายขอขมา ขอให้อาจารย์อดโทษให้ด้วยครับ 

พระอาจารย์ –  บอกแม่เขาไว้ เอากายน่ะเป็นจุดยืน


โยม –  ครับ พยายามบอก แม่เขาก็ไม่ชอบดู

พระอาจารย์ –  อย่าเอารู้เป็นจุดยืนอย่างเดียว มันยังรู้ไม่ได้ ยังรู้ลอยๆ ไม่ได้ ยังรู้เป็นอิสระไม่ได้


โยม –  ครับ เดี๋ยวผมจะไปจัดการ เมื่อกี้ทบทวนคำสอนอยู่ เดี๋ยวจะไปบอกแม่ ...แม่เขาเป็นแบบต้องนุ่มนวลน่ะครับ เพราะว่าเราพูดแรงแม่เขารับไม่ได้

ขอบคุณพระอาจารย์มากครับ ...ครั้งนี้ไม่ค่อยโดนว่า รู้สึกดีใจ เดี๋ยวจะกลับไป...รู้สึกว่าจะกลับไปฟิตได้มากขึ้นครับ ผมต้องฝึกแบบลำบากน่ะ ผมพึ่งรู้ (หัวเราะ) 

เพราะว่าช่วงเมื่อก่อนนี่ฝึกสบาย มันก็เจริญนะครับ เจริญมาช่วงหนึ่ง มาถึงจุดนี้แล้วกลายเป็นว่าฝึกสบายมันไปไม่รอดแล้ว

พระอาจารย์ –  มันปล่อยปละละเลยมากไป


โยม –  ต้องเอาให้มันเข้มข้นแล้วอาจารย์

พระอาจารย์ –  มันเกิดความตายใจในศีลสมาธิปัญญามากไป


โยม –  มันก็อย่างนี้ครับ อินทรีย์อ่อนก็ประมาทขึ้นมาได้ครับ

พระอาจารย์ –  มันจะกลายเป็น.. พอปฏิบัติไปๆ นี่ แล้วมันล้า พอมันล้าลงปึ้บ มันจะไปถือศีลสมาธิปัญญาในอดีต แล้วมันจะตายใจกับศีลสมาธิปัญญาในอดีต

จริงๆ น่ะ...ศีลสมาธิปัญญามันต้องเป็นปัจจุบัน ไม่ใช่ไปมีในอดีต


โยม –  ครับอาจารย์ นี่ตอนนี้เห็นชัดเลย พอปัจจุบันปรับใหม่นี่

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นศีลสมาธิปัญญาในอดีตช่วยอะไรไม่ได้


โยม –  ช่วยไม่ได้แล้ว ไม่ได้กลับมาช่วยอะไรเลย อาจจะไปช่วยกันตอนมรรคนู้น แต่ว่าตอนนี้ไม่ได้ มรรคไม่เกิด (หัวเราะ)

พระอาจารย์ –  กิเลสมันจะสอดแทรกได้ตลอดเส้นทางของมรรค แม้แต่อยู่ในมรรค หรือว่ากำลังเดินมรรคอยู่ก็ตาม มันก็ยังมีทางที่มันจะสอดแทรกขึ้นมา ถ้าเกิดความตายใจกับมัน


โยม –  ครับ ตอนนี้ไม่ตายใจแล้วครับอาจารย์ อาจารย์บอกแค่มันพร่องไปนี่ ก็รู้สึกไม่ถูกต้องแล้ว เราต้องเพิ่มเข้าไปอีกด้วยซ้ำ

พระอาจารย์ –  อือ คอยหมั่นคอยเติมอยู่ตลอด อย่าให้มันต่ำลงไป ต่ำกว่าเดิม

ถึงบอกว่าการทบทวนบ่อยๆ ในทุกวันว่า เมื่อวานนี้กับวันนี้ มันรู้ตัวได้มากขึ้นหรือน้อยลงกว่าเดิม อย่าให้มันต่ำว่ามาตรฐานเดิม แล้วพยายามให้มากขึ้น มากกว่าเดิม


โยม –  ก็โมหะมันก็บางไปหน่อยครับ เลยเห็นผลขึ้นมา

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นมันจึงเกิดความขยันหมั่นเพียรขึ้น


โยม –  ครับ เพราะมันเห็น แต่ช่วงต่อสู้มันนานมากเลยครับ กว่าจะโมหะมันจะจางลงไปได้

พระอาจารย์ –  เข้าใจคำว่า...ก้าวข้ามได้ เป็นจังหวะ เป็นส่วนๆ ไป เพราะนั้นอย่าไปอ่อนข้อให้มัน อย่าอ่อนข้อให้กิเลส เหนื่อยก็เหนื่อย ทนเอา


โยม –  เดี๋ยวความท้อแท้มันจะกลับมาอีก เราก็ต้องสู้อีก

พระอาจารย์ –  ใช่ กิเลสมันจะคอยมาอยู่เรื่อยน่ะ คอยมาดึงให้รามือจากการปรารภความเพียร ...เพราะนั้นการปรารภความเพียร เป็นการปรารภอยู่ภายใน คือไม่หยุด ไม่ย่อท้อ


โยม –  ก็ช่วงนี้ฮึกเหิม มันก็คงไม่ย่อท้อ ...เดี๋ยวพอช่วงย่อท้อกลับมาอีก ผมก็ต้องต่อสู้น่ะครับ

พระอาจารย์ –  นั่นน่ะ อยู่อย่างนั้น จนกว่ามันจะขึ้นแท่นขึ้นบัลลังก์ได้


โยม –  ก็คงไม่เป็นไรแล้วอาจารย์ ผมก็จะสู้ไปเรื่อยๆ ยังไงก็ฝากเอาไว้กับอาจารย์ด้วยครับ ตอนนี้ไม่มีที่พึ่งที่ใด ยังพึ่งตัวเองไม่ได้ครับ ต้องพึ่งอาจารย์ก่อน

พระอาจารย์ –  จนกว่าจะเอาศีลสมาธิปัญญาของตัวเองเป็นที่พึ่ง ขึ้นแท่นศีลสมาธิปัญญา คือจับได้อยู่ จับแล้วหยุดเลย อยู่แล้วให้อยู่แบบสต๊าฟได้เลย นั่นแหละ


โยม –  แบบอัตโนมัติ ตอนนี้ยังอัตโนมือ (หัวเราะ) ...ขอบคุณครับอาจารย์ครับ


..................................



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น