พระอาจารย์
15/36 (570729C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
29 กรกฎาคม 2557
(ช่วง 1)
(หมายเหตุ : แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น 2 ช่วงบทความ)
โยม – เวลาเดินจงกรมน่ะครับอาจารย์
เหมือนกับยังแบบไม่เข้าทางเท่าไหร่ ก็เลยตอนนี้ยังใช้วิธีอดทนทำไปเฉยๆ ครับ
แล้วก็ผลยังไม่รู้ ก็เลยกะว่าจะทำไปเรื่อยๆ ก่อนครับ
แล้วก็เวลาจะเยอะ-น้อย
ยังบอกไม่ได้ครับ แต่จิตมันจะตั้งมั่นรึเปล่า ก็ยัง...
พระอาจารย์ – อะไรไม่สำคัญ ขอให้มีกายไว้
โยม – ก็คือพยายามเห็นมันเดินไปมาอยู่
พระอาจารย์ – แค่นั้นแหละ ดูแค่อาการกาย ...มีแต่กายอย่างเดียวก็ช่าง
โยม – เมื่อก่อนมันจะเหมือนกับว่าเรารู้สึกตัวได้บ่อย
ระหว่างวันนี่มันจะเห็นอิริยาบถอยู่แล้วครับ แต่พอเดินจงกรมในรูปแบบนี่
ความมั่นคงมันแตกต่างกัน ก็เลยจะปรึกษาอาจารย์ว่า ก็ควรทำให้มากไว้หรือยังไง
พระอาจารย์ – ทำให้มากไว้
โยม – แต่มันก็ต้องต่อสู้กับความขี้เกียจ
พระอาจารย์ – นั่นแหละ ...เดินขนาดไหนล่ะ กี่ชั่วโมง
โยม – อู้หู อาจารย์ ชั่วโมงหนึ่งก็แย่แล้วครับ
พระอาจารย์ – โธ่ ...เวลาเราเดินจงกรมนี่
ไม่ต่ำกว่าสี่ชั่วโมง
โยม – ก็หืม...อาจารย์ครับ ผมก็พยายามอยู่
พระอาจารย์ – วันพระวันโกนนี่ เราเดินทั้งคืน
โยม – ครับอาจารย์ คือยิ่งเดินมาก เดี๋ยวมันมั่นคงขึ้นมาเอง
พระอาจารย์ – เออ ไม่ต้องกลัวว่าจะเดินมากไป
โยม – ผมไม่ได้กลัวว่าเดินมากไปครับ แต่มัน..
พระอาจารย์ – เพราะนั้นตอนเดินจงกรมนี่ แค่หนึ่งชั่วโมงไม่พอ
เข้าใจมั้ย ไม่พอที่จะกำราบจิต เพราะจิตมันจะอย่างนี้ แล้วมันจะสับสน ...เราจะต้องอดทนฝืนเดินไปอย่างงั้นน่ะ
โยม – เหมือนหุ่นยนต์เดินไป เดิมมันปวดไปหมด แล้วผมก็เดินแหลก
ไม่สนใจ
พระอาจารย์ – เออ นั่นแหละ เดินเข้าไปเหอะ ไม่ได้อะไรหรอก
เดินไป ดีกว่านอน ดีกว่านั่ง อะไรอย่างนี้ ...ให้มันมีการเคลื่อนไหว
มันก็รู้บ้างเห็นบ้างน่ะ รู้ไป
โยม – ครับ เหมือนกับ...จิตมันเหมือนค่อยๆ
ตั้งทีละน้อยๆ ก็เดินไปโดยที่ไม่สนใจอะไรเลย มันตั้งของมันเองโดยที่ไม่ต้องสังเกตจิตเลยครับ
พระอาจารย์ – นั่นแหละ เดินไปเถอะ เพราะยังไงๆ
มันก็เห็นความรู้สึกกระทบ กระแทก กระเทือนอยู่แล้ว ...นั่นน่ะ จิตก็จะค่อยๆ ตั้งมั่น
รวมขึ้นมา
โยม – ครับ ก็ไม่รู้กำลังมันมาจากไหน มองไม่เห็น
พระอาจารย์ – แต่ว่ามันใช้เวลานาน เข้าใจมั้ย ...ทีนี้พอมันตั้งได้ที่ได้ฐานแล้วนี่
ปึ้บ ทีนี้มันจะเดินด้วยความคล่องเลย อยู่ตัวเลย
โยม – อ๋อ จิตมันก็จะตั้งรู้ขึ้นมา
พระอาจารย์ – รู้ขึ้นมา ทีนี้มันเดินไม่อยากเลิกเลย ...แต่ไอ้ตอนช่วงต้น
กว่าที่มันจะก้าวข้าม...ไอ้ตอนที่เดินแล้วอยากจะเลิกตลอด
โยม – ถ้ามันถึงจุดที่มันติด...สตาร์ทติดปุ๊บ
มันจะอยากเดิน ไม่อยากเลิกแล้ว
พระอาจารย์ – ทีนี้ไม่เลิกแล้ว ...มันจะต้องผ่านจุดนั้นไปทุกครั้ง อย่าไปยอมๆ ...เพราะนั้นเดินเข้าไปเหอะ เดินไป
จะได้อะไร ไม่ได้อะไรก็เดินไป ดีกว่าไปนั่งจมแช่อยู่ในอารมณ์
โยม – ตอนนี้ก็คือเดินจงกรมกับอิริยาบถสามครับที่ทำได้
แต่ผลไม่ค่อยได้อะไรครับ
พระอาจารย์ – ไม่ต้องหวังผลมันมาก
โยม – แต่อรูปภพ ผมยังมีปัญหาอยู่นะครับ
พระอาจารย์ – ไม่ต้องไปสนใจมันแล้ว
โยม – มันเวลาเข้าอรูปปุ๊บ
มันจะมีโมหะคลุมปึ้บขึ้นมาอย่างนี้ครับ
พระอาจารย์ – รีบละทันที
โยม – พอเห็นโมหะปุ๊บนี่
มันเหมือนไม่ทันแล้วครับอาจารย์ โมหะคลุมปึ้บ หมายความว่าเราติดอรูปภพเรียบร้อย
พระอาจารย์ – เดิน เคลื่อนไหว ทำความรู้สึกในกายให้ปรากฏ
สูดลมหายใจแรงๆ อะไรก็ได้ ...อย่าไปพะวง อย่าไปดันทุรังอยู่กับมัน
อย่าไปอยู่กับโมหะ
อย่าไปอยู่กับอะไร อย่าไปทำความแจ้งชัดในมัน...ไม่ได้ ...ละเลิกทันที
โดยทำอาการของกายปัจจุบันให้ปรากฏ
เพราะนั้นในท่าทางนั่ง
กำลังนั่งหรืออะไรก็ตาม สูดลมเลย สูดลมแรงๆ เข้าไป
แล้วก็ทำความรู้สึกกับลมเข้าลมออกเลย แล้วมันจะค่อยๆ สลายอารมณ์เอง
อารมณ์จะสลายไปเอง ไม่ว่าจะเป็นรูปหรืออรูป
โยม – อันนี้มันเป็นอุบาย ผมก็ใช้วิธีนี้อยู่ครับ
แต่ว่าบางครั้งถ้าเยอะ หรือเรารู้ตัวช้าเกินไป ก็อาจจะไปเดินหรืออะไร
พระอาจารย์ – ลุกหนีเลย เออ ทำอะไรแทนเลย ...อย่าไปจมแช่อยู่กับมัน
ทั้งในแง่ทำ ทั้งในแง่ละ ทั้งในแง่หาความจริงกับมัน ...ไม่เอาเลย
เพราะว่ากำลังของศีลสมาธิปัญญาเราไม่พอที่จะไปสู้กับอารมณ์อย่างนี้
ไม่สามารถไปแยกแยะอารมณ์แบบนี้ได้
โยม – ครับ ผมก็ไม่สู้
...แสดงว่ามันก็ไม่ค่อยติดอรูปแล้ว
โยม (อีกคน) – พระอาจารย์ แนะนำอะไรโยมเป็นพิเศษบ้างไหมครับ
เพื่อความเจริญก้าวหน้า
พระอาจารย์ – ก็บอกแล้วว่ารู้ตัวให้มากที่สุด ...แล้วก็อะไรที่มันจะเป็นเหตุให้เกิดความรู้ตัวได้น้อยนี่
หรือมีความสำคัญกว่าความรู้ตัวนี่ ต้องกล้าที่จะละมัน ทิ้งมัน ไม่เอากับมัน
ไม่ไปเอาธุระกับมัน
คือในตัวจิตกิเลส จิตเรานี่ มันยังมีความเห็นอะไรต่างๆ สำคัญกว่าการรู้ตัวอยู่เยอะ ...การกระทำ เหตุการณ์ เรื่องราว
นี่ มันยังมีอีกมากเลย...ที่มันให้ความสำคัญกว่าคำว่ารู้ตัว
เราจะต้องคอยเปลี่ยนค่าให้ความสำคัญกับการรู้ตัวนี่
ให้มากกว่าไอ้สิ่งที่เคย...ที่จิตเรานี่ให้ความสำคัญกับมันมาก ว่าเป็นสิ่งที่ดี
สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ควร สิ่งที่มีประโยชน์ สิ่งที่ช่วยเกื้อกูล
อะไรต่างๆ เหล่านี้ ที่จิตมันให้ความสำคัญ ตัวนี้...ที่จิตมันให้ความสำคัญทั้งหลายนี่
คือความดีทั้งนั้นแหละ คือบุญๆ คือความสุขในที่ทั้งปวง สำคัญกว่ารู้ตัวหมด
บอกแล้วว่าต้องแลก ...พอมารู้ตัวเข้าจริงๆ นี่ มันจะเป็นภาวะที่ปราศจากบุญและบาป เพราะในขณะที่มันรู้ว่านั่ง
กำลังนั่งนี่ ...มันจะไม่มีบุญ-บาปแทรกขึ้นมาได้เลย
ระหว่างการนั่งจะไม่เกิดบุญและไม่เกิดบาป ไม่เป็นความรู้สึกที่เราพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจอะไรหรอก
มันจะไม่มี ...มันจะมีแต่กาย มีแต่รู้ แล้วมันจะดูเหมือนไม่มีค่า
เพราะมันไม่มีเป็นบุญอย่างชัดเจน ไม่เป็นบาปอย่างชัดเจนอะไร ...ตรงนี้
จะต้องให้ความสำคัญกับตรงนี้ให้มาก
มากกว่าไอ้ความสำคัญอย่างอื่นที่จิตมันเคยให้ค่า จิตเรานี่เคยให้ค่า
แล้วกำลังให้ค่าอยู่
เช่นเวลาเราไม่พอใจนี่
แล้วมันอยากจะพูดอะไร ให้ร้าย ให้เสียดแทงใจเขานี่ ...แล้วมันให้ความสำคัญกับการที่จะพูด ต้องการพูดตามอารมณ์นี่
ให้มันเกิดผลแก่เราอย่างนั้นอย่างนี้
หรือให้เขาเจ็บช้ำแล้วเราจะได้ผลประโยชน์ในความพึงพอใจอย่างนั้นอย่างนี้ เนี่ย มันให้ความสำคัญอย่างนี้มาก
มากกว่าที่จะเอาการรู้ตัวมารู้ตัวแทนตรงนั้น
นี่คือการที่ให้ค่าให้ความสำคัญ
นี่ในแง่บาปอกุศล ...แม้แต่อกุศลนี่ มันก็ยังให้ค่าให้ความสำคัญกว่ารู้ การรู้ตัว
(ต่อแทร็ก 15/36 ช่วง 2)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น