วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แทร็ก 15/35 (2)


พระอาจารย์
15/35 (570729B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
29 กรกฎาคม 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 15/35  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  แต่ถ้ามันไปรู้รอบ รู้ไปทั่วปัจจุบันนี่ ก็เรียกว่าสติสมาธิปัญญานี่ มันกว้างเกินไป ...มันกว้างแล้วมันจะไม่มีกำลังที่จะไปทำความแจ้งในแต่ละส่วน

ท่านก็เลยต้องให้บีบๆๆ บีบให้มันมาแค่จำเพาะที่จำเพาะทาง ให้มันเป็นสติสมาธิปัญญาในวงแคบ แคบที่สุด มันจะได้มีกำลังมากที่สุดในการรู้และเห็น

ท่านก็เลยให้รวมปัจจุบันทั้งหมดภายนอก ก็ให้มันรวมลงที่ปัจจุบันกาย ...เพราะว่าตัวกายนี่มันเป็นศูนย์กลาง การที่มันมีภายนอกได้ ตาหูจมูกลิ้นกาย รับรู้กับอายตนะ ...ก็กายนี่แหละเป็นยานแม่

ท่านก็เลยให้รวมลงมารู้อยู่จำเพาะที่ เหมือนกับมันก็บีบสติสมาธิปัญญาให้มันจำกัด ให้มันแคบที่สุดต่อความเป็นจริงในปัจจุบัน ...จึงเหมือนกับบีบน้ำสายยางให้มันเป็นลำเล็กที่สุด แรงที่สุด มันก็จะมีกำลังแรงที่สุด

เมื่อมีกำลังแรงที่สุด มันก็ฉีดพ่นทำความชะล้างสิ่งที่มันห่อหุ้มปกคลุม ครอบงำ ปัจจุบันกายนี้ออก ด้วยอำนาจพลังของศีลสมาธิปัญญาที่มันรวมกัน

มันก็ชะล้าง ความเชื่อ ความเห็น ความคิด ความจำ ภาษา ที่มันมีต่อกายเบื้องหน้ามัน ...กายตามความเป็นจริงก็ปรากฏอย่างชัดเจนชัดแจ้ง โดยที่ไม่ต้องไปลงทุนค้นหาเลย 

ไม่ต้องไปเปิดตำรามากางเทียบ เหมือนกับไปเปิดสารานุกรม นี่เรียกว่าอะไร นั่นเรียกว่าอะไร ...มันก็จะปรากฏอย่างชัดเจนตามสภาพแบบเงียบๆ ของเขาเอง

ก็อาศัยกายนั้นแหละเป็นแหล่งเรียนรู้ กายตามความเป็นจริงนี่เป็นแหล่งเรียนรู้ ...เพราะมันไปเรียนรู้กายอื่นมาเป็นอเนกชาติแล้ว กูก็ยังไม่ไปนิพพานเลย

แล้วไม่เห็นทางด้วย กูจะไปนิพพานยังไง ตั้งแต่อเนกชาติแล้ว  เรื่องนั้น กายคนนี้เขาทำอย่างนั้น กายคนโน้นเขาพูดอย่างนี้ กายเราข้างหน้าข้างหลังจะเป็นยังไง

เรียนรู้กับกายนั้นมาเป็นอเนกชาติแล้ว กูยังมาเดินง่อกแง่กอยู่บนโลกนี้ ...ก็ให้มันมาเรียนรู้กายตามความเป็นจริง ที่เป็นลักษณะอาการความรู้สึก

จะหนัก เบา ตึง ไหว ขยับ แน่น หรือว่าเป็นทรวดทรง รูปลักษณ์ รูปพรรณสัณฐาน  ณ ขณะนี้เวลานี้มันเป็นยังไง ก็ให้มันมาเรียนรู้แต่จำเพาะกาย แวดวงกายปัจจุบัน

พระพุทธเจ้าท่านให้รู้อย่างนี้ ศีลสมาธิปัญญา ...เออ รู้ไปเหอะ จะเกิดมรรค แล้วจะเข้านิพพาน เนี่ย ก็ต้องลองเชื่อท่านดู เพราะเรียนรู้มานานแล้วนะ กายอื่นน่ะ เรียนรู้มานานแล้ว

ไม่ใช่แต่แค่ชาตินี้นะ อเนกชาติแล้ว ไม่เคยอยู่กับกายนี้ หากายนี้ยังไม่เจอเลย ไม่รู้มันมีจริงรึเปล่า ไม่รู้อ่ะ แล้วไม่ได้สนใจใยดีอินังขังขอบอะไรกับมันเลยน่ะ

แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้มารู้ดูสิ ให้มาลองรู้ดู ให้มาลองค้นคว้าดูสิ ให้มาลองสำเหนียกด้วยโยนิโส แยบคาย ด้วยความมนสิการ นึกน้อมบ่อยๆ โอปนยิโกบ่อยๆ 

เดี๋ยวจะค่อยๆ เข้าอกเข้าใจถ่องแท้ขึ้นมาเองว่าอะไรเป็นอะไร ความเป็นจริง ผลจากการรู้เห็นตามความเป็นจริงคืออะไร ...ซึ่งมันยังไม่รู้หรอกผลแห่งการรู้เห็นตามความเป็นจริงคืออะไร ถ้าแค่อ่านตำราหรือฟังคนอื่นเล่านะ

แต่ถ้ามันมาเรียนรู้จากความเป็นจริงนี้แล้ว ผลแห่งการรู้เห็นตามความเป็นจริงนี่ มันจะบังเกิดขึ้น ประจักษ์แก่ใจตัวผู้รู้ผู้เห็นนั้นเอง

แล้วมันเกิดความเป็นอิสระ จากกายทุกกายที่แวดล้อมมัน จากกายทุกกายที่ "เรา" สร้างขึ้น ...มันจะเป็นอิสระจากกายเหล่านั้น มันจะไม่ขึ้นไม่ลงกับกายเหล่านั้น มันจะขึ้นตรงต่อกายนี้กายเดียว

แล้วก็เรียนรู้ไปเรื่อย ผลแห่งการรู้แจ้งเห็นจริงก็มีขึ้นเรื่อยๆ ...มันก็ยังอาจขึ้นลงกับกายปัจจุบัน ก็เรียนรู้ไปสิ ผลของมันก็...ต่อไปมันก็จะไม่ขึ้นลง แม้กระทั่งกายปัจจุบัน หรือกายตามความเป็นจริงจะเป็นยังไงก็ช่างมัน

แต่ก่อนอื่นน่ะ ผลอันดับแรกก็คือ มันจะไม่ขึ้นไม่ลงกับกายอื่น กายคนนั้นกายคนนี้ การกระทำที่เนื่องด้วยกายคนนั้นกายคนนี้ รวมถึงกายของตัวเองข้างหน้าข้างหลัง ที่มันคิดนึกปรุงแต่ง

มันจะไม่ขึ้นกับกายนั้น มันจะเห็นความไร้สาระ มันจะเห็นความว่าไม่มีค่าเพียงพอที่จะให้ไปยินดียินร้าย หรือหาค่าไม่ได้เลย ไม่รู้อะไรจะมีค่าทำให้เกิดความยินดียินร้ายได้ 

เพราะมันไร้สาระอย่างยิ่ง ไม่มีอยู่จริง เป็นความหลอกลวงของจิตทั้งหมดเลย ...แต่มันยังจะขึ้นลงกับเวทนา ใช่มั้ย นี่ มันยังขึ้นลงกับปัจจุบันกายอยู่ 

มันก็ต้องเรียนรู้อีกต่อไปเรื่อยๆ จนถึงกายในกาย กายในกาย จนถึงกายอนัตตา มันก็เกิดการรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นไปตามลำดับอย่างนั้นน่ะ ...แต่มันขึ้นลงกับกายปัจจุบันนี่ ก็ถือว่าดีแล้ว 

แต่ไปขึ้นลงกับคำพูดคนอื่นนี่ไม่ดี นี่แปลว่ามันออกนอกกายตามความเป็นจริง แล้วก็ไปดีใจเสียใจ ไปหงุดหงิดงุ่นง่าน รำคาญ อึดอัดคับข้อง หรือไปสืบเนื่องต่อเนื่องต่อการกระทำคำพูดของกายอื่นอย่างนี้

เพราะนั้นมันจะต้องบีบ...ให้มันเหลือกายเดียว ให้มันอยู่กับกายเดียว แล้วก็เรียนรู้กับกายเดียว  ทีนี้มันก็ไม่ไปเสียเวลาไปเรียนรู้กับกายอื่นแล้ว...ซึ่งมันก็ยังอยากรู้อยู่น่ะ ก็ต้องตัดบ่อยๆ ว่าช่างหัวมัน

นี่ ตัดแบบตัดทิ้งเลย ช่างหัวมัน ใครเขาจะพูดอะไร ใครเขาจะทำยังไง เหตุบ้านการเมืองจะเป็นยังไง ช่างหัวมัน ไม่สน มีคนเขาสนแทนอยู่เยอะแยะไปหมดแล้ว เราไม่สน ประเทศชาติก็คงไม่ล่มจมหรอก  

หรือการกระทำคำพูดที่จะต้องมีเราไปสนับสนุนในการไปด่าไปชมมัน...ไม่ต้องกลัวหรอก มีคนด่า มีคนชมเยอะแยะแล้ว ว่ามึงทำถูก มึงพูดผิด มึงทำไม่ถูกนะ อย่างนั้นอย่างนี้ 

ไม่ต้องไปสนับสนุน ไปลงคะแนนโหวตกับเขาหรอก เราก็ไม่เอามาเป็นธุระ นี่เรียกว่าไม่เอามาเป็นธุระ ...แต่เผลอเมื่อไหร่ มันก็เอาๆ เอามาเป็นเรื่อง แล้วก็ไปจมแช่หมุนวน 

นี่ กว่าจะรู้ตัวได้ ก็ต้องหักอกหักใจๆ ...เห็นมั้ย เวลาหักอกหักใจ มันต้องใช้กำลัง เหนื่อย ...พอมันต้านทานไม่พอ มันก็ เออ เลยตามเลย ให้ไหลวนเข้าไป ทุกข์ทั้งนั้น

แต่เมื่อใดที่มันเคยลิ้มรสของการอยู่กับศีลสมาธิปัญญา มันจะเห็นเองน่ะ ทุกข์ทั้งนั้นเลย ...แต่ถ้าใครยังไม่เคยลิ้มรสศีลสมาธิปัญญามา มันก็ไม่ว่าเป็นทุกข์ สนุก มีสาระ เป็นคนที่มีคุณค่าแก่การจดจำในโลก

แน่ะ มันได้โลกธรรม ๘ มาเป็นสิ่งตอบแทน สุข สรรเสริญ มีลาภ มียศ พวกนี้ มันเป็นตัวตอบแทน ในการที่เข้าไปหมุนวนในอาการ ในความเป็นไป การกระทำคำพูดของสัตว์บุคคลในโลก รวมทั้งตัวเราข้างหน้าข้างหลัง

เป้าประสงค์ของมันที่มันจะได้เป็นผลตอบแทน ก็คือโลกธรรม ๘ ...ซึ่งมันจะได้มาทั้ง ๘ แต่มันก็จะดันทุรังให้เหลือแค่ ๔ อีก ๔ ไม่เอา


โยม –  ไม่เอาความเสื่อม

พระอาจารย์ –  เออ ความเสื่อมไม่เอา เสื่อมลาภไม่เอา เสื่อมยศไม่เอา สุขเอาทุกข์ไม่เอา ซึ่งมันจะได้ทั้ง ๘ ...จริงๆ มันต้องได้ ๘ ด้วยตลอดเวลา แล้ว ๘ ในข้างทุกข์นี่จะได้มากกว่าข้างสุขด้วย

แต่มันก็ดันทุรังจะต้องให้ได้ นี่ ตรงนี้ที่เรียกว่ามันเกิดเข้าไปมัวเมา หมกมุ่นอย่างไม่ลืมหูลืมตาเลย ...ศีลสมาธิปัญญาไว้ทีหลังหมดเลย เรื่องสำคัญคือโลกธรรมนี่ ต้องเอาให้ได้

ทีนี้ ตัวที่กำหนดโลกธรรมนี่ มันไม่ใช่ความปรารถนาของเราเป็นใหญ่ถ่ายเดียวแล้วจะได้นะ มันกอปรด้วยกรรมวิบาก กอปรด้วยเหตุปัจจัยล้านแปดพันเก้าเลยน่ะ กว่าที่มันจะได้มาเป็นสุขครั้งหนึ่งคราวหนึ่งนี่

หรือที่จะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ครั้งหนึ่งช่วงหนึ่งเวลาหนึ่ง มันต้องมีองค์ประกอบ accessory ค้ำจุน เป็นเหตุผสมรวมให้เกิดปัจจัยประกอบขึ้นมา ...มันไม่ใช่แค่จำเพาะความอยาก ความไม่อยากของเรานะ

แต่มันไม่รู้ไม่เข้าใจอะไร เพราะอาศัยความอยาก ความไม่อยากของเรานี่เป็นใหญ่น่ะ ดันแบบหัวชนฝา ...ทีนี้มันก็ทั้งเจ็บ ทั้งทุกข์พัวพัน ทั้งมีอารมณ์ สะเปะสะปะ วุ่นวี่วุ่นวาย

จนเป็นทุกข์ทับถม อึดอัดคับข้อง มีแต่ความเศร้าหมอง...ท่ามกลางความเศร้าหมอง ด้วยการค้นหา มันอยู่ด้วยความเศร้าหมองหมดเลย

เพราะว่าไม่รู้จะได้เมื่อไหร่ เมื่อไหร่จะถึง วันไหน  เมื่อถึงแล้วได้แล้ว ก็จะรักษาไว้ได้อยู่นานมั้ย ...นี่ มันอยู่ด้วยความเศร้าหมองตลอด

ก็ต้องกล้าที่จะไม่เอา สละ แลก สละเพื่อแลกศีลสมาธิปัญญา ...ศีลสมาธิปัญญาก็ไม่ใช่ว่าได้มาฟรีๆ ด้วยนะ มันต้องแลก...แลกกับโลกธรรม ๘ น่ะ

สุขก็ไม่เอา ทุกข์ก็ไม่เอา มีชื่อมีเสียง มีหน้ามีตาก็ไม่เอา มีลาภมียศก็ไม่เอา คือต้องแลกหมดแหละ แลกกับไม่เอาอะไรเลย ทั้งสุขและทุกข์ ดีและไม่ดี ถูกหรือไม่ถูก ชอบหรือไม่ชอบ ควรหรือไม่ควร

เอาแค่ศีลสมาธิปัญญา ธำรงไว้แค่ศีลสมาธิปัญญาคือความรู้ตัวนั่นแหละ เรียกว่ารู้ตัวนั่นแหละ รู้อยู่กับปัจจุบัน ถือกายเป็นปัจจุบัน ถือตัวเป็นปัจจุบัน แล้วก็รู้อยู่กับปัจจุบัน

ถือปัจจุบันเป็นที่เดียว แล้วก็ต้องแลกกับทุกสิ่งเลยแลกเท่าไหร่ได้เท่านั้น แลกมากได้มาก แลกน้อยได้น้อย ไม่แลกไม่ได้ ศีลสมาธิปัญญานี่

ปัจจุบันนี่อยู่ไม่ได้เลย มันจะต้องเอาอดีตอนาคตมาแลกน่ะ ...เพราะนั้นถ้ามันอยู่ในปัจจุบันเลย อดีตจะเกิดไม่ได้ อนาคตจะเกิดไม่ได้

แล้วต่อไปแม้กระทั่งความคิดหรือแม้กระทั่งอารมณ์ก็เกิดไม่ได้  มันต้องแลก แลกจนไม่มีอะไรแลกน่ะ ...คือมันแลกจนไม่มีอะไรแลก คือกูแลกหมดแล้ว ไม่มีอะไรไปแลกแล้ว คือมันไม่เอาอีกแล้ว

ทีนี้มันก็อยู่ตัว มันก็คงสภาพศีลสมาธิปัญญาด้วยความเต็มเปี่ยมพรักพร้อมบริบูรณ์ ไม่ขาดไม่เกิน ไม่มีคำว่าบกพร่อง มันจะเติมเต็มอยู่ตลอดเวลา

เมื่อมันพร่องไปเมื่อไหร่ มันจะเติมเต็มตลอดเวลา...ในระดับผู้ปฏิบัติอย่างยิ่งยวดแล้ว มันจะเป็นอย่างนั้น มันจะทนอยู่ไม่ได้เมื่อมีความบกพร่องไปในศีลสมาธิปัญญา


(ต่อแทร็ก 15/36)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น