วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

แทร็ก 15/17 (2)


พระอาจารย์
15/17 (570615C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 มิถุนายน 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 15/17  ช่วง 1

โยม –  แต่บางคนที่รู้ได้มีไหมคะ หมายถึงว่าคนที่ละเอียดพอ

พระอาจารย์ –  ไม่มีอ่ะ ส่วนมากที่รู้น่ะจะมีคนบอก ...คือว่าจริงๆ น่ะ มันจะไม่สนใจที่จะรู้เลย จะไปสนใจตอนเดียวว่า มันจะหมดราคะ หมดปฏิฆะรึยัง


โยม –  มันจะชัด

พระอาจารย์ –  ตรงนั้นน่ะ มันชัดเลย...ความเป็นกายนี่หมดสิ้นเลย ความเป็นกายพร้อมกับรูปกายนี่หมดสิ้นเลย


โยม –  เพราะฉะนั้นไม่ต้องตั้งเป้าไว้โสดากับสกิทาคา

พระอาจารย์ –  บอกให้ว่า...เด็กอนุบาล


โยม –  ตั้งเป้าไว้ที่อนาคา

พระอาจารย์ –  อือ ถ้าไม่ได้อนาคานี่....อย่าเลิก อย่าหยุด  เพราะว่าถ้าเข้าถึงอนาคาแล้วไม่มีสิทธิ์หยุด ไม่มีสิทธิ์เลิก มันเป็นบทบัญญัติ มันเป็นบทตายตัวเลย

แต่ถ้าเข้าไม่ถึงนี่ หมายความว่ายังบังเกิดความเอ้อระเหยลอยชายได้ เสขิยะ ไม่ใช่อเสขิยะ เสขิยบุคคล ...ต้องเข้าให้ถึง เรียกว่าโลกุตตรธรรมโดยสมบูรณ์ โลกุตตรจิต

เพราะนั้นในระดับที่โสดา สกิทาคานี่ ยังไม่จัดอยู่ในโลกุตตรจิตโดยสมบูรณ์  มันยังมีเปอร์เซ็นต์แอบอิงอยู่ในโลกอีกเยอะเลย ความข้องแวะในพ่อแม่ผัวเมียลูกเต้า...มี ไม่ได้จางคลายเลย บอกให้


โยม –  แล้วปัญญาวิมุติระดับของโสดาบันกับสกิทาคามี เข้าผละสมาบัติได้ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ไม่ได้


โยม –  ถ้าไม่ได้ฌานมาใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ไม่ได้ ถ้าไม่ได้สมาบัติ ๘

เพราะนั้นในระดับของปัญญาวิมุตินี่ จะไม่รู้อะไรเลย บอกให้เลย  เพราะมันละลูกเดียว ...จิตคิดนึก ปึ้บ...ละ จิตคิด จิตเคลื่อน ปึ้บ...ละ ...ไม่สนเลย ไม่แปลความหมายเลย 

จะไม่ออกมาแปลความหมายอะไรเลย จะไม่ไปหมายในที่ใดที่หนึ่ง ...พอจิตมันหมายปุ๊บ เห็นทันปั๊บ...ละเลย  ยังไม่รู้เลย...กูละอะไร ก็ละไปแล้ว ...นี่ มันไวขนาดนั้นเลย

เพราะนั้น มันจะมาว่า “กู..กู..กู..เป็นอะไร” ยังไม่ทันถึงว่า “เป็นอะไร” แค่ "กู..กู"...ก็ละแล้วนี่ ปัญญาวิมุติ  คือไม่รู้อะไรเลย จะไม่อยากรู้อะไรเลย  แค่มันจะสะกิดให้ออกไปปุ๊บนี่...ละเลย


โยม –  แบบนี้ถ้าปฏิบัติเข้มข้นไป ก็คืออยู่กับโลกยากแล้ว มันละเร็วตัดเร็ว

พระอาจารย์ –  คือมันอยู่กับโลกไม่ได้เลยน่ะ ในเบื้องต้นนะ ในขั้นตอนที่ยังเดินในมรรคอย่างเข้มข้นนะ มันจะอยู่กับโลกไม่ได้


โยม –  อ๋อ มันเป็นช่วง

พระอาจารย์ –  อือ มันจะเป็นช่วงนึง มันไม่ได้ตลอดชีวิตหรอก แต่ตลอดในช่วงที่มรรคยังไม่สมบูรณ์เท่านั้นเอง พอมันจะยิ่งเข้มข้นในมรรคให้ได้ มันคุยกับคนไม่รู้เรื่องแล้ว

ฟังก็ไม่รู้เรื่อง อย่าว่าแต่คุยเลยนะ ฟังไปงั้นๆ น่ะ ...คือจิตจะไม่แปลความเลย มันจะง่วนอยู่กับศีลสมาธิตัวเดียว ...กายกูกำลังนั่ง กูกำลังทำอะไร กูไม่สนหรอกว่ามึงจะพูดจะด่าใคร ไม่สน ...กายใจกูอยู่ตรงนี้


โยม –  นั่นหมายถึงตอนเดินจิตอยู่เฉยๆ ใช่มั้ยคะ แต่จริงๆ พระโสดาบันท่านก็ไม่ได้เดินจิตตลอด

พระอาจารย์ –  ใช่ บอกแล้ว โสดาบันก็คือพวกเดินตลาดนั่นแหละ

โสดาบันกับปุถุชนเดินคู่กันมาตามถนนนี่ เอาก้อนหินเขวี้ยงหัวมันทั้งสองคน โสดาบันนี่หันมาด่าก่อนเลย ...เพราะสติไวมาก รู้ทันหันขวับด่าเลย...ไว  ปุถุชนยังไม่ค่อยรู้ก็...เฮ้ย อะไรวะ

เห็นมั้ย โกรธมี หลงยังมี ...แต่รู้ แล้วก็ไม่ผูกพันมั่นหมายมาก ...คือด่าไว้ก่อน นี่นิสัย ...แต่ไม่คิดมาก ตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน ไม่จำมาก จำแค่แป๊บแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป 

นี่จะเป็นอย่างนี้ก่อน ...แต่กิเลสเท่าเดิมนะ เข้าใจมั้ย  กิเลสยังมี อารมณ์ยังมี...เท่าเก่าน่ะ ไม่ได้ว่าน้อยลงหรืออะไรลง ...แต่ว่ามันอยู่ได้ไม่นานเท่าเดิม

นี่เพราะมันยังละกิเลสอะไรไม่ได้ เพราะมันยังละความเป็นตัวเราของเราโดยสมบูรณ์ไม่ได้เลย ยังละความหมายมั่นในกายเราไม่ได้เลย


โยม –  พระอนาคามี...ปฏิฆะกับราคะ มันจะไปพร้อมกันใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  เป็นธรรมคู่กัน เวลามันดับก็ดับไปพร้อมกัน ... ถ้าไม่มีราคะ มันก็ไม่มีปฏิฆะ ถ้าไม่มีปฏิฆะ มันก็ต้องไม่มีราคะ ...เพราะว่าในระดับนั้นน่ะ จิตจะไม่เลือกแล้ว จิตจะไม่แบ่ง

นี่หมายความว่าแบ่งอะไร ...แบ่งรูป  ...ไอ้ราคะ-ปฏิฆะนี่ มันเกิดด้วยรูป ไม่ได้เกิดด้วยกายนะ  แต่ว่ารูปมันก็เนื่องด้วยกาย ไม่ได้ว่ารูปลอยๆ ขึ้นมาเฉยๆ ก็ไม่ได้นะ

นี่ มันสัมพันธ์กันอย่างนี้ ...แต่ว่าตัวกายจริงๆ ไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดราคะหรือปฏิฆะเลย  แต่ว่าตัวที่เป็นเหตุให้เกิดราคะปฏิฆะจริงๆ คือรูป

แต่ว่ารูปมันจะมีได้ก็ต้องมีกาย ไม่มีกายก็ไม่มีรูป มันเนื่องกันอย่างนี้ ...แต่ว่าการจะไปลบล้างราคะและปฏิฆะ ต้องไปแจ้งในกายและรูปพร้อมกัน เข้าใจรึเปล่า

เพราะนั้นให้สังเกตดู เวลาเรามีอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นราคะ หรือปฏิฆะ ...ถ้าโดยที่พวกเราเคยได้ยินครูบาอาจารย์มานี่ ท่านบอกว่าเวลามีราคะ อย่างนึกถึงผู้หญิง นี่ ท่านบอกให้พิจารณาอสุภะใช่มั้ย

แต่ถ้าในลักษณะของปัญญาวิมุตินี่...ไม่ต้องไปใช้ความคิดนะ  ให้น้อมหยั่งลงที่ความรู้สึกของกาย ความรู้สึกภายในกาย ตึง แน่น ไหว กระเพื่อม ...หยั่งตรงนี้ หยั่งในท่ามกลางราคะท่ามกลางปฏิฆะนี่

แล้วให้สังเกตดู ...ราคะจะไม่กำเริบขึ้น ปฏิฆะก็จะไม่กำเริบขึ้น ...เพราะอะไร ...เพราะมันจะไม่มีรูป มันจะไม่มีรูปสัญญา ไม่มีรูปอนาคต และจะไม่มีรูปปัจจุบัน  หรือจะมี ก็จะมีในฐานะที่ลางๆ


โยม –  โยมสงสัยตรงนี้ค่ะ  คือถ้าดูกายเรื่อยๆ ที่มันแตกๆๆ นี่  ถ้ามันไม่มารวมเป็นรูป คือแค่นี้ ดูแค่นี้ไปเรื่อยๆ ราคะมันก็จะหายไป

พระอาจารย์ –  หมดไป เข้าใจมั้ยว่ามันจะหมดไป เพราะว่ากายจริงๆ ไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดราคะเลย ...และให้เห็นว่าราคะมันมาจากไหน ให้ไปทำความแจ้งว่าราคะมันมาจากรูป

แล้วรูปมันมาจากไหน มันมาจากจิต...จิตที่มันออกจากสมาธิ จิตที่มันออกจากผู้รู้ แล้วมันไปสัญญารูปขึ้นมา ไปนิมิตรูปขึ้นมา แล้วมันก็นิมิตรูปขึ้นมาครอบ อิงกาย อิงความรู้สึกของกายอยู่ ครอบงำกายอยู่

จับประเด็นนี้ สังเกตสิ ทบทวนตรงนี้ แล้วก็อยู่กับกาย ไม่อยู่กับรูป ไม่ให้จิตมันมาสร้างรูป เท่าทันรูป ...นี่ละ คือว่าเมื่อเท่าทันรูปบ่อยๆ จิตมันจะเป็นสมาธิอย่างแข็งแรงขึ้นบ่อยๆ มั่นคงขึ้น

พอมั่นคงขึ้นปุ๊บ มันก็จะปรากฏระหว่างกายกับใจนี่ชัดขึ้นเท่านั้น ความชัดในอารมณ์ก็มากขึ้นเท่านั้น ว่าไม่มีอารมณ์เกิดขึ้นท่ามกลางกายและใจนี้ได้เลย

จนกว่ามันจะลบล้างความยึดมั่นถือมั่นในรูป...ที่ว่ามีอยู่จริง ว่าเที่ยง ว่าจับต้องได้ ว่ามีตัวมีตนจริงๆ ...มันก็จะเห็นความเสื่อมสลายไปของรูปบ่อยๆ ความไม่มีตัวตนของรูป มันเป็นแค่มโนภาพ เป็นนิมิตสัญญาเท่านั้น


โยม –  แต่มันจะยังเห็นรูปอยู่ เพียงแต่ว่ามันจะไม่ไปหมายรูป

พระอาจารย์ –  ไม่ไปจริงจังมั่นหมายมาก ...ในฐานะที่เรายังข้องแวะกับผู้คนนะ มันจะมีรูปบางๆ อยู่ตลอดเวลา ราคะ-ปฏิฆะก็ยังอยู่ตลอดเวลา


โยม –  ถ้าไม่ต้องมีรูปเลย มันก็คิดแล้วคุยกับใครไม่ได้

พระอาจารย์ –  ก็บอกแล้วไง เนี่ย คือความเนิ่นช้า นี่คือความเนิ่นช้าที่เราต้องข้องแวะกับผู้คน หรือว่าคลุกคลี

แต่ถ้าเป็นโดยตรงแล้วนี่ หมายความว่ามันทิ้งรูปได้เลย มันละลายรูปทิ้งเลย คือมันไม่ใส่ใจในรูปเลย ปุ๊บ มันจะเหลือแต่กายใจล้วนๆ เลย


โยม –  แต่เวลาพระอริยะคุยกับคนนี่ ท่านก็ยังเห็นรูปอยู่ เพียงแต่ว่าท่านไม่มีกิเลส...

พระอาจารย์ –  อริยะขั้นไหนล่ะ ก็มีหลายขั้นนะ ...ต้องถามว่าอริยะขั้นไหน


โยม –  อย่างพระอรหันต์

พระอาจารย์ –  ถ้าพระอรหันต์นี่ ท่านไม่สนใจอะไรเลย ใช้บัญญัติใช้สมมุติตามสะดวก แต่จะไม่ติดข้องทั้งสองสิ่ง ...ไม่ติดข้องทั้งวิมุติและสมมุติ บอกให้เลย

แต่ถ้าต่ำกว่าอรหันต์ลงมา ไม่ติดข้องในสมมุติ ...แต่ติดข้องอยู่ในวิมุติ เข้าใจมั้ย 

ยังถือวิมุติเป็นหลักอยู่ ยังถือกายอันบริสุทธิ์อยู่ ยังถือศีลสมาธิปัญญาอยู่ เป็นที่ตั้งของจิตอยู่  ยังมีที่ประคับประคอง ศีลสมาธิปัญญาเป็นตัวประคับประคองใจอยู่ เข้าใจมั้ย

แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วปึ้บนี่ ทิ้งหมดเลย วิมุติก็ไม่ติด สมมุติก็ไม่ติด แต่ใช้มันทั้งคู่เลยน่ะ...ได้โดยที่ไม่มีข้อจำกัด หรือไม่มีขีด ไม่มีประมาณเลย

แต่ถ้าต่ำกว่านั้นปึ้บ ยังมีข้อจำกัด ยังทิ้งศีลสมาธิปัญญาไม่ได้...แม้แต่ขณะหนึ่ง

ซึ่งถ้าเป็นระดับพระอนาคาขึ้นไปแล้วนี่ ท่านไม่ยุ่งกับคนแล้ว ท่านจะไม่ยุ่งกับการสอน การพบ การเจอคนแล้ว ...ถ้าไปภาษานี้ก็เรียกว่าเข้าปลีกวิเวกทันทีน่ะ

เพื่ออะไร ...เพื่อทำให้มันลุล่วงโดยไม่เนิ่นช้า ...เพราะว่าอะไร ...เพราะไม่รู้จะตายเมื่อไหร่ ความตายนี่มาจ่อคอหอยเลย  มันเหมือนเห็นความตายนี่มาจ่อคอหอยเลย

แล้วมันกำลังกดทับๆ คอหอย บีบๆ กดๆๆ ลงไปอยู่อย่างนี้ ...นี่ อยู่ไม่ได้แล้วกู มาเสียเวลาพูด เสียเวลาคุยอยู่อย่างนี้ เสียเวลาแบ่งจิตแบ่งใจ แบ่งความสมมุตินี่ กูไม่ทันแล้ว มันจ่อกดๆๆ หายใจไม่ออกแล้ว 

นี่ มันเห็นอย่างนี้ เห็นความตายอยู่อย่างนั้นเลย ...ก็เลยต้องเร่งรัด ไม่ให้มันเนิ่นช้า ไม่ให้มันเสียเวลาจนความตายมาพรากขันธ์ไปก่อน ...แต่ถ้าต่ำกว่านั้นลงมา ความประมาทยังกลืนกินอยู่ เกิดความเนิ่นช้าได้อีก

ถ้าเป็นปุถุชนนี่ ไม่ต้องพูดถึง ...กูไม่กลัวตายอ่ะ แล้วไม่คิดว่าจะตายด้วยนะ  ไม่ใช่ไม่กลัวอย่างเดียว ไม่คิดเลยนะว่าจะตายวันนี้วันพรุ่ง ไม่เคยคิดเลย ไม่อยู่ในหัวเลยน่ะ บอกให้

แต่พอเป็นอริยะขึ้นมาเรื่อยๆ ปุ๊บ ความตายนี่มันเริ่มใกล้ตัว...เห็นจ่อหน้าเข้ามา เคลื่อนเข้ามาๆ อย่างนี้ จะมานั่งเดินยืนกิน เล่นๆ นอนๆ อยู่ยังไงวะ 

จะมาเผลอเพลินกับการเที่ยวการเล่น จะสนุกคุย สนุกไปนั่นมานี่อยู่ได้ยังไง ...นี่ มันเห็นเลยว่าไอ้นี่มันดึงเวลาขันธ์ ดึงเวลาศีลสมาธิปัญญาไปมากมายมหาศาลเลย ...มันเห็นความตายจ่อเข้ามาใกล้ๆๆ

แต่ถ้าปุถุชนน่ะ อยู่นู่น ลิบสุดขอบจักรวาลน่ะ ความตายไม่ค่อยนึก  ยังไม่ตายตอนนี้หรอก อีกหลายปี อีกนาน ไว้ภาวนาตอนใกล้ๆ นั้นก็ได้ ...มันว่าอย่างนั้นกันไป

เพราะนั้นการภาวนาจะต้องงวดขึ้น เข้มข้นขึ้น อะไรที่ยังปล่อยปละละเลยให้มัน คุ้นเคยอยู่กับกิเลส คุ้นเคยด้วยกิเลส ...มาร์คไว้ๆ จะเอาออกให้ได้ ออกจากมันให้ได้

คือต้องมาร์คก่อน ต้องมาร์คต้องหมายให้ได้ เนี่ยๆ อย่างนี้ๆ อารมณ์อย่างเนี้ย ความคุ้นเคยอย่างเนี้ย ...มาร์คไว้ กาหัวไว้ก่อน ...แล้วค่อยเช็คบิล เลิกละ ถอดถอน ถดถอยลงมา ออกจากมัน

ลำพังจิตนี่ ที่มันหมาย ที่มันคุ้นเคยนี่ เหมือนกับหนวดปลาหมึก  เคยเห็นหนวดปลาหมึกมั้ย ยั้วเยี้ยๆ ไปหมด ยิ่งกว่าหนวดปลาหมึกอีกนะ ...ถ้าไม่มาร์คไม่หมายแล้วตัดไปทีละเส้นๆๆ นี่ ไม่มีวันหมด

ถ้าไม่ตั้งใจละตั้งใจเลิกกับมัน ไม่มีทางหรอกที่มันจะเลิกเอง ...มันจะไปเลิกตอนที่นั่นน่ะ ความตายมาจ่อคอหอย ใกล้ตายแล้วนี่ มันถึงจะรู้ว่าเป็นทุกข์

แต่โดยลำพังตัวมันเอง มันจะไม่ละด้วยตัวของมันเองได้เลย ...เนี่ย คือกิเลสความตายใจ ความหลง ความมัวเมา...ความมัวเมาในกิเลส

มันพาให้ไปสมัครสมานสามัคคี เกลือกกลั้วอยู่ในกองอารมณ์ กองความสุข กองสบายใจ ...ตายใจอยู่อย่างนั้น ประมาทอยู่อย่างนั้น

ก็ต้องมาร์คหมายไว้เพื่อละออกไป...ไม่ได้ก็ต้องได้  ไม่ได้วันนี้ พรุ่งนี้ต้องได้ ...ต้องหมาย ต้องมีสัจจะที่ให้มันลดๆ ถอนออก แล้วมารวมรู้รวมเห็นให้มันแข็งแกร่งมั่นคงขึ้น

รวมกายรวมจิตให้มันเป็นหนึ่งขึ้น แล้วก็อยู่...รวมแล้วอยู่กับมันให้ได้ โดยไม่ปริปากบ่น โดยไม่มีข้อแม้ โดยไม่มีช่องว่าง ช่องที่ปล่อยโอกาส...เปิดโอกาสให้มัน

อย่าเสียดาย อย่าเสียดายอารมณ์ในโลก อย่าเสียดายความคุ้นเคยในโลก อย่าเสียดายความคุ้นเคยในกิจวัตรประจำวันของเรา ...พวกนี้มันเป็นตัวดึงรั้งไว้หมดเลย มันดึงรั้งไว้หมดเลย

ก็ต้องเปลี่ยนด้วยการละ การถอน ...จนมันอยู่ได้ด้วยความเป็นอิสระ โดยไม่พึ่งอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง หรือการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง

หยุดหมดเลย ...เหลือแต่กายใจที่มันดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ ดำรงรู้อยู่ด้วยความเป็นเอกภาพ เป็นเอกจิต เอกธรรมอยู่อย่างนั้น ...เป็นหนึ่ง ธรรมหนึ่ง

เป็นธรรมที่เรียกว่า เอโกธัมโม เอกังจิตตัง อยู่อย่างนั้น ...แล้วอยู่ได้ด้วยความไม่หวั่นไหว อยู่ได้ด้วยความไม่มีอารมณ์มาปรากฏแผ้วพานอยู่ตรงนั้น

นั่นแหละ ให้มันได้ถึงอย่างนั้น ก็จะค่อยๆ วางใจได้  ...ถ้ามันได้ถึงจุดนั้นน่ะ มันจะเข้าสู่ภาวะที่วางใจได้...คือมันจะเป็นอัตโนมัติ มันจะเป็นออโต้ (Auto) ไม่ใช่แมนน่วล (manual) แล้ว

แมนน่วลนี่คือเรา ยังมีเราอยู่...ต้องแมนน่วล ...แต่พอถึงจุดนั้น ความเป็นเราเริ่มไม่มีแล้ว จะเป็นออโต้ ศีลสมาธิปัญญามันอยู่ตัว ...เรียกว่าอยู่ตัวพอดี

นี่ มันทำงานเอง ควบคุมกายใจเอง ควบคุมกิเลสภายในภายนอกเอง มันอยู่ตัวแล้ว


โยม –  นั่นคืออนาคามี

พระอาจารย์ –  ใกล้แล้ว


(ต่อแทร็ก 15/18)




วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

แทร็ก 15/17 (1)


พระอาจารย์
15/17 (570615C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 มิถุนายน 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  บอกแล้ว ศีลสมาธิปัญญามันเป็นการปฏิบัติแบบเลือกข้างนะ ...ต้องเลือกข้างอย่างชัดเจน

ถ้าไม่รู้จักการทิ้งบัญญัติ ทิ้งอารมณ์ ทิ้งสมมุติ ...มันจะไม่มีทางเข้าใจความหมายของวิมุติโดยถ่องแท้สมบูรณ์เลย

ถ้ายังแอบอิง ยังเจือปนอยู่ด้วยบัญญัติ ด้วยสมมุติ ด้วยอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งก็ตาม ...จะไม่เกิดความเข้าใจชัดเจนเลย

ความชัดเจน ความถ่องแท้...ในธรรมตามความเป็นจริงหรือวิมุติธรรม หรือบริสุทธิธรรม หรือวิมุติขันธ์ บริสุทธิขันธ์ ...นี่ มันจะไม่เข้าใจความหมายของธรรมส่วนนี้เลย

เพราะนั้น มันต้องเลือกข้าง ...มันต้องทิ้งอย่างหนึ่งแล้วมารู้อย่างหนึ่ง...โดยสมบูรณ์เลย ...แต่ถ้าเรายังรักเผื่อเลือกอยู่อย่างนี้ ยังเปิดช่องให้มัน ...มันก็เกิดความเนิ่นช้า 

นี่ มันก็ได้...ไม่ใช่ไม่ได้ ...ก็ได้กุศลมันก็ดี ได้ความรู้ในธรรม ได้ในบุญในทานอะไร มันก็ดี ...แต่มันเป็นตัวยืดเวลาของการเกิด 

บุญก็พาให้เกิดเหมือนกัน บาปก็พาให้เกิดเหมือนกัน  คือมันเกิดคนละขั้ว ...แต่ยังไงก็เกิดเหมือนกัน 

แต่ศีลสมาธิปัญญามันตรงข้ามเลย...มันไม่เกิด ...แม้กระทั่งปัจจุบันนี่ มันยังออกนอกปัจจุบันไม่ได้เลย เห็นมั้ย แม้แต่ปัจจุบัน ยังไม่ทันตาย มันก็ยังไม่มีอะไรไปเกิดได้น่ะ

ก็ต้องเลือกข้างใช่มั้ย ...จะเลือกข้างเกิดหรือจะเลือกข้างไม่เกิดล่ะ ...อะไรเป็นตัวเกิด อะไรเป็นตัวพาเกิด...ก็คือจิต  อะไรเป็นตัวผลักดันให้จิตไปเกิด...ก็คืออวิชชา ความไม่รู้ ความทะยานอยาก ตัณหา

แล้วทำไมมันต้องเกิด ...ก็มันเกิดแล้วมันได้อารมณ์ไง มันมีเราไปได้อารมณ์ ไปเสวยอารมณ์ ...นี่ มันติดข้องในอารมณ์ ที่เป็นสุข ที่พอใจ ที่เพลิดเพลิน

ที่เป็นทั้งในอดีต ทั้งในอนาคต ทั้งในปัจจุบัน นี่ มันไปเกิดอยู่ในอารมณ์นั่นน่ะ เกิดเป็นเราอยู่ในอารมณ์นั้น เป็นเราเป็นผู้กินอยู่หลับนอนในอารมณ์สุขนั้นน่ะ

แต่ถ้าเมื่อไหร่อยู่ด้วยศีลสมาธิปัญญา จิตมันเกิดไม่ได้ ไม่อนุญาตให้จิตเกิดเลย ...ศีลสมาธิปัญญาที่เข้มงวดนี่ จะไม่อนุญาตให้จิตเกิดเลย ...เพราะนั้นมันก็ยังดำรงอยู่แต่ขันธ์ในปัจจุบันเท่านั้น

ซึ่งขันธ์ปัจจุบันนี่ หรือว่าธรรมชาติตามความเป็นจริงในปัจจุบันนี่...ที่มันดำรง ที่มันปรากฏตัวของมันเองนี่ โดยไม่แอบอิงเรา ไม่แอบอิงกิเลสนะ ...มันไม่มีอารมณ์ในนั้น 

มันไม่มีอารมณ์ในตัวของมันเอง หรือพูดง่ายๆ มันเป็นสภาพที่ว่างเปล่าจากอารมณ์ ...นี่ไม่ใช่อารมณ์ว่างนะ แต่มันเป็นสภาพที่ว่างเปล่าจากอารมณ์

ถ้าอารมณ์ว่างก็อีกอารมณ์นึง ยังมีเราเข้าไปสร้างอารมณ์ ยังมีเราเข้าไปเสวยอารมณ์นั้นแต่นี่มันว่างเปล่าจากอารมณ์ และไม่มีเราเข้าไปเสวยในอารมณ์ ...เนี่ย คือฝั่งมรรค เนี่ย คือฝั่งศีลสมาธิปัญญา

แต่ด้วยอนุสัย ความคุ้นเคยนี่ ...มันคุ้นเคยกับการที่มีอารมณ์เป็นที่อยู่ เป็นที่รองรับเสมอ และมันติดข้องในอารมณ์ที่มันคุ้นเคย

ตรงนี้ที่มันจะต้องอาศัยความเพียร ความอดทน ที่จะออกจากอารมณ์นั้นๆ  ทวนกับความอยากที่จะไปจมแช่กับอารมณ์หรือได้มาซึ่งอารมณ์นั้นๆ ...นี่เขาเรียกว่าทวนกระแส


โยม –  แต่โยมว่าคนทั่วไปน่ะ อ่านหนังสือฟังธรรมก็ยังดีกว่าทำอย่างอื่นนะคะ  เพราะว่าอ่านหนังสือฟังธรรมแล้วก็ทำให้ทิ้งอย่างอื่น

พระอาจารย์ –  ก็ใช่ ก็เริ่มต้นก็ต้องอย่างงั้นน่ะ เพราะว่ามันก็เป็นอุบายช่วย

แต่เมื่อเข้าถึงหลักการปฏิบัติแล้ว เข้าถึงศีลสมาธิปัญญาแล้ว บอกแล้วว่า ไอ้ตัวสะพานเชื่อมนี่ ตัดทิ้งไปเถอะ ไม่ต้องเสียดายสะพาน

เราถึงบอกอยู่เรื่อย ถามอยู่เรื่อยว่า มันเป็นไทหรือเป็นราว หือ คำว่าไทหมายถึงอิสระ ราวนี่หมายถึงว่าราวสะพานนะ ...จะเป็นราวอยู่เรื่อย จะไปไหนก็ต้องถือราวหรือ

เข้าใจมั้ย ถ้ามันเดินเป็นแล้วนี่ รู้แล้วนี่ เห็นชัดเจนฝั่งศีลสมาธิปัญญาอยู่ตรงไหน คืออะไร ...นี่เป็นไทแล้วนะ เริ่มเห็นความเป็นไทแล้วนะ

ก็ยังอยากจะเป็นราวอยู่นั่น เอาอะไรมาเป็นราวระโยงรยางค์ยึดเกาะ หรือเป็นที่พึ่งอาศัยอยู่อย่างนั้น


โยม –  ถ้าคนที่ยังเที่ยวทางโลกเขาก็ไม่มีราวด้วย

พระอาจารย์ –  อันนั้นยิ่งกว่าราวอีก มันไปแบบไม่มีขอบเขตเลย ไปแบบไม่มีอะไรจริงอะไรเท็จเลย  มันไปตามกระแสเลย...กระแสกิเลสล้วนๆ เลย

เพราะนั้นน่ะ เบื้องต้นนี่ การอ่านหนังสือธรรมะนี่ช่วย เพื่อให้เห็น ...จะได้ยึดราว จับราว แล้วก็ยืนขึ้นก่อน แล้วก็เดินไปตามราว

คือเพ้อเจ้อในธรรม ฟุ้งซ่านในธรรม เพลิดเพลินในธรรม คิดอ่านในธรรม  แล้วก็วาดหวังฝันถึงธรรมในความคิดไปก่อน ...นี่เขาเรียกว่าไต่ราวไปเรื่อยๆ

เสร็จแล้วไงล่ะ ...มันความขวนขวายในธรรมน่ะ ก็จากราวนี่ มันก็ไต่ราวๆ มา  หนังสือมันกล่าวถึงใคร ใครเป็นคนพูดนะ คนพูดนั่นยังมีชีวิตอยู่มั้ย แล้วถ้าคนที่พูดตายไปแล้วยังมีลูกศิษย์อยู่มั้ย

เนี่ย มันก็จะไปสืบค้นต้นตอ ไปหา  แล้วมันก็เกิดการได้ยินได้ฟังธรรมตามมา หรือแม้แต่กระทั่งเอาไปปฏิบัติจริง...มันก็ได้...ได้ราวแล้ว คือพอเลียบๆ เคียงๆ พิจารณาเอา เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง  

เข้าใจยังไงก็ทำอย่างนั้น ...นี่ มันก็เริ่มยืนหยัดขึ้น...แต่ยังอาศัยราวอยู่  ...แล้วถ้าทำไปไม่หยุดไม่หย่อน มันก็จะมาถึงจุดที่เรียกว่า...ได้เห็นทั้งสองฝั่ง ทั้งที่มีราวและไม่มีราว ...คือจุดที่จะเป็นไท

มันก็ต้องพัดพามาจนถึงจุดนี้จนได้...ในการปฏิบัติ  ไม่มีทางหรอกที่มันจะหนีรอดศีลสมาธิปัญญาที่แท้จริงได้ ...แต่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตามวาสนาบุญเก่า

เพราะนั้นน่ะ ไอ้การที่ยังเดินโดยอาศัยราวไปนี่ มันเกิดความคุ้นเคยนะ แล้วเกิดความสำคัญผิดอย่างหนึ่งว่า...ถ้าไม่มีราวนี่ใช้ไม่ได้ หรือต้องมีราวนี่เป็นหลักไปด้วย

ซึ่งจริงๆ น่ะ...ราวคือราวนะ ไม่ใช่หลัก ...คือเหล่านี้ภาษาท่านเรียกว่า...อุบายธรรม  นี่คืออุบาย เพื่อจะให้เข้าถึงมรรค เพื่อจะให้เข้าถึงศีลสมาธิปัญญา

แต่มันกลับไปติดว่าอุบายนี่คือหลัก แล้วมันทิ้งไม่ได้ ไม่ยอมทิ้ง ...ตัวนี้มันจะเกิดภาวะที่เรียกว่ารุงรัง เหนี่ยวรั้ง ฉุดรั้ง ให้เกิดการเปรียบเทียบเปรียบเปรยในธรรมขึ้นมา

ทำให้เกิดความสงสัยลังเลในธรรม ภาษาธรรม บัญญัติธรรม ความลึกซึ้งในบัญญัติธรรมภาษาธรรม ที่ต้องมาคอยแยกแยะตีความ ...มันกลายเป็นของรุงรัง เสียเวลา เนิ่นช้า

แต่ถ้าเข้าใจว่ามันเป็นอุบายที่มาให้ถึงอีกฝั่งนึง คือฝั่งที่ไปตามลำพังโดยไม่อาศัยสิ่งยึดเหนี่ยวใด ...ตอนนี้มันก็จะค่อยๆ เรียนรู้การละการวาง 

สิ่งแรกที่มันจะวางก็คือ สีลัพพต...ขนบธรรมเนียม ประเพณีนิยม ความเชื่อในอดีตว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องมีความเห็นต้องมีความรู้อย่างนั้นอย่างนี้ พวกนี้เป็นสีลัพพตในธรรม ลูบคลำในวัตรในศีลในธรรม

มันก็ค่อยๆ ละ คลาย วางๆ วางไปพร้อมกับความลังเลสงสัยในธรรม ...เพราะความลังเลสงสัยนี่มันเกิดจากการตีความในธรรมเป็นภาษาไม่ถูก มันก็เลยสงสัย

ไอ้ที่มันสงสัยนี่มันสงสัยในบัญญัตินะ มันสงสัยในภาษา...ภาษาธรรม เนื้ออรรถกระทงความที่ได้ยินได้ฟังมา เป็นวรรค เป็นประโยค เป็นวลี เป็นถ้อยคำนี่แหละ มันเลยสงสัย

พอมันละ มันคลายออกจากสีลัพพต ...ความสงสัยตามบัญญัติตามภาษาธรรม มันก็ค่อยๆ น้อยลง  ก็ไม่ค่อยเข้าไปจริงจังในภาษา ก็ไม่ต้องการความอยากรู้อยากเห็นโดยภาษา ...เนี่ย มันจะเข้าตรงต่อเนื้อธรรม


โยม –  แล้วแบบนี้ธัมมวิจยะนี่มันมีภาษาเป็นบัญญัติมั้ย

พระอาจารย์ –  จริงๆ มันไม่มีหรอก ...มันเห็นแยกแยะ ขยายธรรม 

มันเหมือนกับแว่นขยายนี่ แล้วมันเพิ่มกำลังขยาย ...จากที่แว่นขยายเลนส์ประมาณ คูณ 2  คูณ 5  ก็เป็น คูณ 10 อย่างนี้ ...เห็นมั้ย มันขยายธรรม มันจะเห็นรายละเอียดในธรรม


โยม –  ไม่ต้องไปนั่งคิดอะไร

พระอาจารย์ –  ไม่ได้คิดเลย ...แต่ไอ้ตัวส่องนี่ กำลังขยาย แว่นที่มันขยายส่องธรรมลงมานี่ มันเห็นได้มากกว่า ละเอียดกว่า เพราะว่ากำลังขยายเบื้องต้นมันเพิ่มขึ้น

พอศีลสมาธิปัญญามากขึ้นเรื่อยๆ มันจากคูณ 2  เป็นคูณสิบ คูณยี่สิบ คูณห้าสิบ คูณร้อย คูณล้าน ไอ้ที่ไม่เคยเห็นก็เห็น แล้วที่ว่ามันรวมกันอย่างนี้เป็นอย่างนี้ มันเห็นแยกแยะ ย่อยซอย ...เนี่ย มันวิจยะอย่างนี้


โยม –  แต่มันก็สลับได้นะคะ หมายถึงว่าขณะที่จิตไม่ได้ตั้งมั่นขนาดที่จะไปเห็นธัมมวิจยะ ก็สลับกับจินตาไปได้ไหม

พระอาจารย์ –  มี...มีบ้าง มีอาศัยประกอบได้บ้าง ...แต่ไม่ได้อาศัยจินตาเป็นหลัก ไม่ใช่หลักเลยนะ ...มันจะส่องขยายด้วยญาณเป็นหลัก วิจยะธรรมด้วยญาณ


โยม –  อันนี้ถึงไม่เป็นพระโสดาบัน แต่ว่าก่อนมรรคจิตจะเกิด ...ก็เกิดแบบนี้ได้

พระอาจารย์ –  ได้แล้ว ในระดับปุถุชนยังได้เลย ...แต่ว่าส่วนใหญ่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์มันจะวิจยะด้วยภาษา


โยม –  มันจะปนกัน

พระอาจารย์ –  อือ แล้วมันจะมีเปอร์เซ็นต์มากกว่าเท่านั้นเอง ...เพราะว่ามันยังเข้าสู่จุดที่เรียกว่าสมาธิโดยสมบูรณ์ยังไม่ค่อยได้ ...มันได้แค่แป๊บนึง มันส่องได้แค่สักอึดใจนึงนี่ 

เดี๋ยวความคิดกูก็ออกแล้ว ภาษามารองรับแล้ว...ยาวเลย ....นั่นน่ะให้รู้ทันเลยว่าจิตเริ่มเคลื่อนแล้ว อย่าหลงธรรม อย่าหลงสังขารธรรม อย่าหลงภาษาธรรม

มันก็ดี...ดีในระดับนึงเอง คือพอเข้าใจ เออ เข้าใจแล้วๆ พอแล้วๆ อย่าไปเยิ่นเย้อเวิ่นเว้อ หรือไปโยงใย


โยม –  ไม่ใช่อะไร ...มันเรียนมามาก ฟังมามาก มันก็เลยเทียบเคียงเรื่อยๆ

พระอาจารย์ –  ใช่ เตลิด มันจะเกิดจิตเตลิด นี่ เขาเรียกว่าฟุ้งซ่านในธรรม มันจะเกิดความฟุ้งซ่านในธรรม ...ไม่ใช่ฟุ้งซ่านในโลกนะ นี่ ฟุ้งซ่านในธรรม


โยม –  แล้ววิธีกลับมาก็คือรีบกลับมาอยู่กาย

พระอาจารย์ –  คือฐาน หาฐานให้เจอ ...ศีลอยู่ไหน กายอยู่ไหน รู้อยู่ไหน ...นี่คือฐาน กลับมาลงฐานเลย กลับมาแบบหักดิบ เข้าใจมั้ย อย่าเสียดายธรรม

อย่าเสียดายธรรมข้างหน้าที่ยังไม่ถึง ที่ยังว่า...เอ้ย ยังคิดไม่แล้วเลย ยังไม่เห็นไปจนตลอดมันเลย ...อย่าเสียดาย หักลำซะ ...นี่เขาเรียกว่าทวน ทวนบ่อยๆ นี่เรียกว่าทวนกระแส

พอทวนกระแสมาก กำลังแห่งการทวนกระแสด้วยศีลสมาธิปัญญามาก ต่อไปนี่...แค่เห็นปุ๊บมันตัดเลย


โยม –  แค่เห็นจิตเคลื่อน

พระอาจารย์ –  เคลื่อนปุ๊บตัดเลย...มันตัดได้ทันทีเลย  นี่ เขาเรียกว่าความเฉียบคมของปัญญาเกิดขึ้น มันจะตัดกระแส ...จากทวนแล้วจะตัด จากตัดปุ๊บนี่ มันจะข้ามกระแสนี้เลย

พอมันข้ามกระแสปุ๊บ มันจะหลุดพ้นจากกระแสเลย เข้าสู่อริยมรรคโดยขั้นสูงแล้ว ...จะตัดกระแส แล้วก็ข้ามกระแส  พอข้ามกระแสแล้วมันก็ข้ามกระแสไปตามลำดับ เข้าใจมั้ย

แต่ไม่ได้ข้ามทีเดียว ยกทีเดียวนะ ...เพราะว่าที่จะข้ามกระแส จะตัดกระแสทีเดียวเลยนี่ มีอยู่อย่างเดียว คือเจโตวิมุติ ...ลักษณะของเจโตวิมุติจะยกข้ามเลย จะยกจิตตัดกระแสรวดเดียวเลย

คือเข้าสู่สมาบัติที่เก้า หรือเข้าสู่ผละ หรือท่านเรียกว่านิโรธสมาบัติ ...ตัวในนิโรธสมาบัตินี่ จะเข้าปึ้บ ตัดกระแสเลย ยกข้ามเลย  พอออกจากนิโรธสมาบัติก็เข้าสู่ผละสมาบัติสู่อรหัตผลเลย

ซึ่งหาไม่ได้แล้วในสัตว์โลกปัจจุบัน บอกให้เลย ไม่มีอ่ะ หมดไปแล้ว สูญพันธุ์เพราะนั้นไอ้อย่างที่เหลืออยู่นี่ เขาเรียกพวกปลาซิวปลาสร้อย หากินลูกน้ำทีละตัวล่ะวะ

คือทีละขณิกะๆ แล้วก็บ่มเพาะศีลสมาธิปัญญาให้เติบใหญ่ทีละขณะๆ อย่างนี้...คือธรรมในยุคนี้ คือการเข้าถึงมรรคและผลในยุคนี้สมัยนี้...โดยส่วนใหญ่เปอร์เซ็นต์ใหญ่จะเป็นอย่างนี้


โยม –  แล้วมรรคจิตผลจิตนี่ เกิดหนึ่งขณะ หมายถึงว่าความเร็วขนาดนี้ แล้วคนที่เขาเข้าไปแล้วนี่เขาจะรู้มั้ยคะ

พระอาจารย์ –  ไม่รู้หรอก


โยม –  จะไม่รู้เลยหรือว่าตัวเองเป็นพระโสดาบันแล้ว

พระอาจารย์ –  ไม่รู้ ไม่มีภาษาตอบ ไม่มีภาษาบอก ...บอกให้เลยว่ามันจะไปรู้ชัดจริงๆ นี่ อนาคามรรค อนาคาผล ...อันนั้นน่ะจะตัดกันโดยสมบูรณ์


โยม –  โสดาปัตติมรรคแล้ว สกิทาคามิมรรคซ้ำอีกก็ยังไม่รู้

พระอาจารย์ –  แทบจะ...เกิดดับธรรมดานี่แหละ


โยม –  แต่ความเข้าใจมันหลุดไปแล้ว

พระอาจารย์ –  ค่อยๆ เปลี่ยนน่ะ ...มันจะเห็นความเปลี่ยนไปของความเข้มข้นในอารมณ์ ความเข้มข้นของกิเลส


(ต่อแทร็ก 15/17  ช่วง 2)