วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 15/22 (1)


พระอาจารย์
15/22 (570701C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
1 กรกฎาคม 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เพราะฉะนั้น...แค่หนึ่งชั่วโมงรู้สักครั้งหนึ่ง ...นี่ก็ถือว่าให้โอกาสกับกิเลสพอสมควรแล้วนะ

กับแค่รู้แป๊บนึงนี่ เออ กำลังทำอะไร กำลังนั่ง...นี่ รู้ ...เชื่อมั้ย ถ้าไปลองทำกันจริงๆ ถ้าตั้งใจจริงๆ นี่ ทำกันจริงๆ ...ได้ไม่เกินหนึ่งวัน  พอวันที่สอง...ไม่เอาแล้ว

นี่ ขนาดว่า แค่ชั่วโมงนึง...รู้ตัวทีนะ ...ไม่ใช่ไปนั่งแบบขัดสมาธิเพชรครั้งละชั่วโมงอย่างนี้ ไอ้นั่นไม่ต้องพูดถึง...มันไม่ทำอยู่แล้ว ทำได้ยากยิ่งเลย

แต่ขนาดนี่...ให้รู้ว่า เออ เฉลี่ย โดยเฉลี่ยทั้งวัน...หนึ่งชั่วโมงสักครั้ง สองครั้ง สามครั้ง แบ่งจิตมานิดนึง มารู้ตัวนิดนึง แล้วลองทำให้ได้ต่อเนื่องทุกวันไปอย่างนี้ ...พยายามฝืนไว้

เพราะพอวันที่สองจะเริ่มขี้เกียจขึ้นแล้วนะ  วันที่สาม-สี่-ห้า จิตมันจะเริ่มต่อรอง...เป็นสองชั่วโมงครั้งได้มั้ย ...นี่ ขนาดนี้มันยังต่อรองเลยนะ มันจะอย่างนี้ ...แล้วพวกเราก็จะอ่อนข้อให้มัน อ่อนข้อให้มัน

แล้วพอสุดท้ายก็...เออ ไม่เอาแล้ว มันรุงรังว่ะ ไม่รู้จะทำไปทำไม สู้ทำตามเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม ไม่ต้องดูไม่ต้องรู้ไม่ต้องเห็นอะไรเลย ...เนี่ย มันจะทานอำนาจของความหลงความเพลินไม่ได้

มันจะทนต่อความคุ้นเคยในการใช้ชีวิต การกระทำ คำพูด ตามอำนาจของกิเลสความพอใจ-ความไม่พอใจไม่ได้ เหล่านี้ ...มันก็จะไม่ได้รับการพัฒนาขึ้นในศีลสมาธิปัญญา

เมื่อจิตไม่ได้รับการพัฒนาด้วยศีลสมาธิปัญญานี่ เวลามันเจอสถานการณ์คับขันที่มันเป็นทุกข์ ที่มันเลือกไม่ได้ ที่มันไม่ได้เกิดจากเราเป็นผู้สร้างขึ้นมาเองก็ตาม หรือเป็นเราสร้างขึ้นมาเองก็ตาม

พอถึงจุดนั้นน่ะ มันจะแก้ไม่ได้ ...เนี่ย มันจะเกิดภาวะบีบคั้นทับถม ทุรนทุราย กระสับกระส่าย มืดบอด ดำดิ่งอยู่ในกองทุกข์ก้อนทุกข์ ความรู้สึกเป็นทุกข์อย่างแผดเผาเร่าร้อน ทรมาน

แล้วก็ต้องจมแช่ แล้วก็อยู่ในสภาวะที่มันถูกบีบคั้นด้วยทุกข์อย่างนั้นน่ะ ...การกระทำ คำพูดที่ออกไปนี่ มันจะออกไปท่ามกลางความเร่าร้อนที่แผดเผา

เพราะนั้นมันจึงมีการกระทำคำพูดที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน แล้วไปกระทบกับสิ่งนั้น บุคคลนี้ อีกมากมาย ...สุดท้ายแล้วมันก็จะเข้ามาสุมเป็นทุกข์ซ้อนเข้ามาอีก หลายเรื่องเข้ามาอีก ไปใหญ่เลย

มันไปใหญ่เลย จนบางทีก็เสียงานเสียการ เสียบุคลิก เสียสถานะการดำรงตน การดำรงอาชีพ การดำรงบุคคลคนนี้อยู่ในสังคม ...มันสูญเสียหมด มันเสียหายไปโดยทั่วของตัวเองและผู้อื่น

เนี่ย เพราะว่าปล่อยปละละเลย แล้วก็เวลากิเลสมันทับถมขึ้นมาถึงจุดนึง ขึ้นมาสร้างอารมณ์ ก่อทุกข์จนทับถมทวีคูณขึ้นมาแล้วนี่ ...เอาตัวไม่รอดหรอก

นี่ ยังเป็นทุกข์เรื่องภายนอก ...แล้วยังต้องเป็นภาระของขันธ์ ที่มันจะต้องเจอเรื่องภาระของขันธ์คือทุกข์กาย จนถึงทุกข์ของวันตาย ทุกข์ของอาการกายกำลังจะแตกดับตายไป

มันก็จะมีทุกข์อย่างแสนสาหัสขึ้นมา ทุกข์แบบหมอยังส่ายหัว คือไม่รู้จะช่วยยังไง ...ความทุกข์บางความทุกข์ เวทนาบางเวทนานี่ เอายาทุกชนิดมาแล้ว ก็ยังเอาไม่อยู่

เพราะนั้นความเป็นทุกข์ในกายนี่ บางครั้งบางคนวิบากมันแรง มันสูง ...นี่ มันทุกข์จริงๆ ทุกข์แบบทั่วทุกขุมขนเลย มันไม่มีตรงไหนที่ไม่เป็นทุกข์เลย เวลานั้น

แล้วจะเอากำลังจิตกำลังใจที่ไหนไปตั้งรับต่อสู้ ...ถ้าไม่มีการพัฒนาจิตอยู่ด้วยศีลสมาธิปัญญามาตั้งแต่ร่างกายมันยังเป็นปกติ...ยังไม่เดือดเนื้อร้อนใจเพราะมันขึ้นมา

เหล่านี้ คือให้ตัวเองใช้อุบายเหล่านี้...ในการเตือนให้เกิดความขยันหมั่นเพียร ในการสร้างฐานศีลสมาธิปัญญาของตัวเองขึ้นมาอยู่เสมอ ...ไม่งั้นมันจะเกิดความตายใจในโลก ตายใจในขันธ์

เกิดความประมาทในโลก เกิดความประมาทในขันธ์ ...คิดว่าโลกมันจะเป็นอย่างที่เราเจอทุกวัน เราก็อยู่อย่างสบายๆ ไม่มีเรื่องไม่มีราวทุกวัน...ก็คงเป็นอย่างนี้ต่อไปมั้ง ...นี่ มันตายใจในโลก

กายก็อยู่ธรรมดาไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย...มันก็พอแล้ว  ปวดหัวตัวร้อนก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่เห็นมันจะเดือดเนื้อร้อนใจเป็นทุกข์อะไรเลย ...นี่ มันก็ตายใจในขันธ์

เวลามันเกิดสภาวะที่มันคับแค้นจริงๆ แล้วจะรู้เองน่ะ...ไม่ใช่ธรรมดา ...เวลาร่างกายมันวิปริตจริงๆ ไม่ว่าจะโรคไหนก็ตาม มันเอาไม่อยู่ จิตเอาไม่อยู่ ...หาทางดิ้นหนี ก็ไม่รู้จะดิ้นหนียังไง เพราะไม่มีปัญญา

แต่ถ้าภาวนาซะตั้งแต่หัววัน คือตั้งแต่อายุยังน้อย สะสมภูมิปัญญา ภูมิของสติ กำลังของสติ กำลังของสมาธิ กำลังของปัญญามาโดยสม่ำเสมอตลอดสาย

คือไม่ต้องถึงขั้นเอาแบบ...แหม เป็นหน้าที่หลัก ใช้ชีวิตเป็นงานรอง...ไม่ใช่ ...ก็ทำไปเถอะ ค่อยๆ ทำไป  แต่ว่าโดยเฉลี่ยให้มันได้ตลอดวันทั้งวันให้มันมีรู้บ้าง

ขาดบ้าง เผลอบ้าง หายบ้าง ขอให้เฉลี่ยว่าอย่าให้มันขาดนาน รู้นิดก็ยังดี ...เอาไม่อยู่ก็ช่างมัน ก็รู้ใหม่  คอยรู้กลับมาดูตัวเองใหม่ สร้างทีละนิดๆ ทีละนิดไป

อย่าปล่อยปละละเลย อย่าละความขวนขวายในการเจริญสติสมาธิปัญญาภายใน ...เพราะไอ้สติสมาธิปัญญาอย่างที่เราอธิบายนี่ มันเป็นสติสมาธิปัญญาแบบพื้นฐาน ง่ายๆ

แบบใครก็ทำได้ แค่นั่งแล้วรู้ว่านั่งนี่ ใครก็ทำได้ ...ต่อให้เด็กมันมานั่ง ถามมัน มันก็ยังรู้เลยว่ามันกำลังนั่ง ใครก็ทำได้ ...มันไม่ใช่ยาก มันไม่ใช่ต้องลงทุนอะไร

มันไม่ใช่ต้องลงทุนลงแรง ใช้เงิน หาสถานที่ หรือว่าต้องสร้างจิตสร้างใจดวงใหม่ขึ้นมาอย่างแรง อย่างยิ่ง...ก็ไม่ใช่ ...ก็รู้ธรรมดา แค่เนี้ย

ถ้ารู้ได้แล้ว...ก็บางครั้ง บางช่วง ถ้ามันรู้แล้วมันสามารถตั้งรู้ตั้งเห็นอยู่กับกายนี้ได้..ด้วยความต่อเนื่องเป็นนาที สองนาที ห้านาทีได้...ก็เอา

อย่าไปเบื่อ อย่าไปคิด อย่าไปบอกว่าไม่รู้จะรู้ไปทำอะไร...เบื่อแล้ว ไม่เอาแล้ว ...เออ รู้ไปเหอะ ถ้ามันรู้ได้นาน...ตลอดอิริยาบถนั่ง นอน ยืน เดินนั้นๆ ได้เลย ...ก็ยิ่งดี

เนี่ย สร้าง ขวนขวายอยู่อย่างนี้  จะได้อะไร ไม่ได้อะไร ก็ถือว่าฝึกไว้ทำไว้ ...แล้วเวลาถึงคราวคับขัน มีทุกข์ขึ้นมาที่ต้องให้ได้รับ ต้องให้ได้เสวย ไม่ว่าจากตัวเองหรือจากบุคคลอื่น

เนี่ย สิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราปฏิบัติคือศีลสมาธิปัญญานี่...มันจะมาเกื้อ มันจะมาหนุนตอนนั้น ...มันจะมาชี้ทาง มันจะมาส่องทาง...ว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไรในสภาวการณ์เช่นนี้

เนี่ย ปัญญามันจะมาเตรียมให้ทางออก ชี้ทางออกให้เห็น ...แล้วเป็นทางออกที่ดีที่สุด แล้วก็เป็นทางแก้ที่ดีที่สุด ตรงที่สุด 

อาจจะไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ก็ถือว่าดีที่สุด ...ดีกว่าผู้ที่ไม่มีสติสมาธิในศีลสมาธิปัญญามาก่อน ที่จะแก้หรือทำ...ซึ่งมันจะแก้ไปแบบผิดๆ ถ้าไม่มีศีลสมาธิปัญญาเป็นตัวรองรับ

หรือไม่มีศีลสมาธิปัญญาที่เคยสร้างเคยกระทำมาแต่ก่อนเป็นตัวชี้นำทางแล้ว ...การแก้การกระทำต่อปัญหานั้นๆ มันจะเกิดความต่อเนื่องและยืดเยื้อ ไม่จบจริง ไม่จบง่าย

เพราะนั้นการรู้ตัวนี่...คือการที่เรียกว่าศีลสมาธิปัญญา ...การรู้ตัวก็คือหมายความว่าเป็นการเอาความรู้ตัวนี่เข้าไปแก้ปัญหาทุกปัญหาไป ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็ก ปัญหาใหญ่ ปัญหาหนัก ปัญหาเบา

หรือปัญหาที่ดูเหมือนจะแก้ไม่จบ แก้ไม่ได้เลยก็ตาม ...พูดง่ายๆ คือทุกปัญหา...เอารู้ตัวอย่างเดียวนี่แก้ ...ก็คือความหมายเดียวกับที่ว่าเอาศีลสมาธิปัญญาเข้าแก้นั่นเอง

อย่างนี้ ผู้ใดที่ใช้วิธีการนี้ต่อปัญหาทุกสิ่งที่อยู่ในชีวิตนี่ ...ผู้นี้จะถือว่าเป็นผู้ดำเนินอยู่ตามหลักของพระพุทธเจ้า ตามหลักของเหล่าพระอริยสาวกท่านวางหลักไว้

แล้วไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอริยสงฆ์สาวกท่านได้แต่สอน ...ตัวท่านเองท่านก็ใช้หลักนี้ด้วย ตัวท่านเองท่านก็อยู่ในหลักนี้ แล้วก็ปฏิบัติตัวอยู่ในหลักนี้ด้วย

ไม่ใช่ว่าดีแต่ปาก ดีแต่สอนแล้วไม่ทำ ตัวท่านก็ใช้วิธีนี้โดยตลอด ...ถ้าเป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงสุดก็เรียกว่าโดยตลอดเวลานั่นแหละ ท่านก็อยู่ด้วยศีลสมาธิปัญญาตลอดเวลา

โดยมันเป็นลักษณะที่ไม่พรากจากกาย ไม่พรากจากขันธ์เลย...ศีลสมาธิปัญญาจะอยู่แนบกายแนบขันธ์อยู่ทุกปัจจุบันนาทีเลย ...นั่น จนมันเป็นนิสัยเลย

เพราะนั้นท่านจึงรู้ ท่านจึงเห็นว่า...ผู้ใดก็ตามอยู่แนบ อยู่กับ...อาศัยอยู่กับศีลสมาธิปัญญาเป็นหลักแล้วนี่ ...จะได้ผลอันเป็นมงคลอยู่ตลอดเวลา เป็นทางผลอันประเสริฐจะเกิดขึ้นโดยไม่ขาดสายเลย

ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางโลกและทางธรรม ...มันก็จะมีผลให้ได้เป็นปรากฏขึ้นมาทั้งทางโลกและทางธรรมอยู่ตลอดเวลา ...เหมือนน้ำฝนที่หลั่งไหลมาในฤดูฝนน่ะ เหมือนฤดูน้ำหลากน่ะ อย่างนั้น

เพราะนั้น....ท่านทำตัวอย่างนั้น แล้วท่านได้รับผลอย่างนั้น ท่านเห็นผลอย่างนั้น ...ท่านจึงบอกว่า นี่ ดีจริงนะ ถูกนะ เป็นไปตามพระพุทธเจ้าบอกทุกประการ ไม่มีคำว่าบิดพลิ้วไปเป็นอื่นเลย

ว่าผลอย่างนี้เกิดเพราะการกระทำอย่างนี้ การประกอบเหตุอย่างนี้ ศีลสมาธิปัญญาอย่างนี้...ผลจะต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีแปรเปลี่ยน ไม่มีว่าไม่ตรงตามเหตุตามผล ...มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยจริงๆ

แล้วก็เหตุปัจจัยนี่ ...ไม่ใช่ว่าท่านไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ว่าการประกอบเหตุทางโลก การประกอบเหตุด้วยกิเลส การทำตามอำนาจของกิเลสแล้วมันได้ผลอย่างไร

ท่านก็เห็น ท่านก็รู้น่ะ ...เพราะท่านก็เคยมีกิเลสมาก่อน...ไม่ใช่ไม่มี  ท่านก็เคยทำ เคยพูด เคยคิดอย่างนั้นมาก่อน ...แต่ท่านก็เห็นว่าผลออกมานั่นน่ะ มันเป็นเช่นไร

มันเป็นอวมงคล หรือเรียกว่าเป็นความทราม ความต่ำ ความหนัก ความข้อง ความติด ความพัวพัน ความไม่รู้จักจบ เหล่านี้ ...ท่านก็เห็น

ซึ่งเอามาเปรียบกับผลที่ได้จากการอยู่ร่วมกับศีลสมาธิปัญญา มันคนละขั้ว มันคนละมิติ มันคนละโลก มันคนละวิถีกันเลย ...นี่ มันต่างกันโดยสิ้นเชิงจริงๆ ...ยืนยันได้ พิสูจน์ได้ เหล่านี้

เพราะนั้น ในลักษณะของผู้ปฏิบัติที่มันยังไม่ได้เข้าถึงผลในระดับขั้นนั้นเลยนี่ ก็ต้องเชื่อไว้ก่อน ...อย่างน้อยเชื่อไว้ก่อน แกล้งเชื่อไว้ก่อน

เพราะว่าสิ่งที่คนเหล่านั้นพูดน่ะ คือคนที่ไม่ธรรมดานะ คือเป็นคนที่เหนือคนแล้ว ...อย่างพระพุทธเจ้านี่เรียกว่าเป็นคนเหนือคนแล้ว เป็นคนยิ่งกว่าคนแล้ว เป็นยอดของคนแล้ว สุดยอดของคนแล้ว

แล้วไม่ใช่เฉพาะเป็นสุดยอดของคนเท่านั้น ท่านเป็นสุดยอดของสัตว์โลก เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ทั้งหลาย ...ท่านเป็นเลิศในสัตว์โลก

เพราะนั้นการกล่าวอ้าง คำพูด วจี หรือพุทธพจน์ หรือว่าหลักธรรมที่ท่านสอนท่านวางไว้นี่ ...คือเป็นสิ่งที่เรียกว่าคัดกรอง กลั่นกรองมาอย่างดีแล้ว

ไม่ใช่นึกๆ คิดๆ เอาตามประสาแบบคนทั่วไป แล้วก็มาตั้งเป็นทฤษฎีขึ้นมา เป็นความน่าจะเป็นอย่างนี้นะ ไม่น่าจะอย่างนั้นหรือเปล่า

แต่ว่าท่านกลั่นกรองมาด้วยการกระทำ ด้วยตัวท่านเองทั้งนั้น จนบังเกิดผล เห็นผล รับผล ...แล้วท่านจึงมาสอน ท่านจึงวางหลัก วางเป็นภาษาบัญญัติขึ้นมาว่าอย่างนี้ๆๆ

ทำอย่างนี้จะได้ผลอย่างนี้จริง ทำอย่างนี้จะไม่ได้ผลอย่างนี้จริง ท่านพูดไว้เป็นมาตรฐานขึ้นมาเลย ...ไม่ใช่นึกๆ คิดๆ ขึ้นมาลอยๆ ...ท่านทำ แล้วท่านลงทุนเอาตัวเองทำ

แล้วก็ท่านทำท่านบำเพ็ญมานี่...ไม่ใช่เวลาแค่ชั่วหนึ่งอายุคน  ท่านบำเพ็ญสะสมเรียนรู้วิถีเหล่านี้มา...ก็อย่างที่ท่านบอกว่า สี่อสงไขยแสนมหากัป...กับการเกิดตายมาเป็นสัตว์ในสามโลก

แล้วก็จุดมุ่งหมายปลายทาง...ก็เพื่อทำความรู้ ทำความแจ้งในองค์มรรคเท่านั้นเอง ...คือความหลุดพ้นด้วยตัวท่านเอง

เพราะนั้น...สวากขาโต ภควตา ธัมโม คือหมายความว่า สวากขาตธรรม ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ท่านจำแนกออกมานี่ ล้วนกลั่นกรองมาด้วยใจอันบริสุทธิ์ล้วนๆ จริงๆ

ไม่มีมลทินเจือปน ไม่มีเพื่อผลประโยชน์ใดผลประโยชน์หนึ่งของท่านเจือปนเลย ไม่เป็นไปด้วยความอยาก-ความไม่อยากเจือปนเลย ...แต่เป็นมาจากดวงจิตที่บริสุทธิ์ยิ่งแล้ว

เนี่ย แล้วก็เรียบเรียงออกมาเป็นภาษาให้เหล่าสัตว์มนุษย์ได้ยิน ได้แปลความ ได้เข้าใจความหมาย ...แล้วก็ค่อยๆ ไต่เต้าไปตามสมมุติภาษา ไปจนถึงธรรมที่แท้จริง จนถึงต้นตอของธรรมที่แท้จริง จนเห็นที่สุดของธรรมที่แท้จริง 

นั่นเองคือเป้าหมายของการสอน ...เพื่อให้เห็นต้นและปลายของธรรม การเกิดและการดับของสรรพสิ่ง ...จุดเริ่มต้นของการเกิดอยู่ตรงไหน จุดสิ้นสุดของการเกิดอยู่ตรงไหน

ถ้าเห็นโดยจิตที่วางไว้ดีแล้ว คือจิตที่วางด้วยศีลสมาธิปัญญา...มันจะเป็นตัวจับจิตให้วางอยู่ในที่ที่ดีแล้ว นี่ ...มันเห็นเข้าไปถึงต้นตอสาเหตุที่แท้จริง แล้วก็จะเห็นโดยตลอด

หมายความว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนี่...ทุกสภาพธรรม...ล้วนแล้วแต่เกิดจากที่เดียวกันหมด แล้วดับไปในที่เดียวกันหมดเลย 

ไม่มีคำว่าแตกต่าง ผิดแผก หรือเหนือ หรือสูง-ต่ำกว่ากันเลย ...ล้วนแล้วมาจากที่เดียวกันหมดเลย แล้วก็ดับไปในที่เดียวกันหมดเลย


(ต่อแทร็ก 15/22  ช่วง 2)


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น