วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 15/27 (2)


พระอาจารย์
15/27 (570713B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
13 กรกฎาคม 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 15/27  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  ต้องอดทนอาจหาญ กล้าที่จะไม่เอาอะไรเลย...ไม่เอาคือไม่เอาจริงๆ อะไรที่นอกเหนือกาย อะไรที่นอกเหนือศีลปัจจุบัน อะไรที่นอกเหนือจากรู้ แค่รู้ เห็น แค่เห็นน่ะ

ไม่ต่อเติมเกินรู้เกินเห็นน่ะ ด้วยคิดนึกปรุงแต่ง ต่อเนื่องด้วยความคิดนึกปรุงแต่ง ต่อเนื่องไปเป็นอดีตอนาคต...ไม่เอา แค่รู้แค่เห็นตรงนี้ ...เอาให้ทัน เอาให้ขาด บ่อยๆ

จนมันเกิดความชำนิชำนาญ จนเกิดกำลังความเข้มแข็งในการละการวาง ...จะวางลง จะวางไม่ลง...แต่ก็อยู่ท่ามกลางการวางนั้น...ต้องอยู่ด้วยความวาง ท่ามกลางอารมณ์ 

แม้มันจะลง คือดับไป หรือไม่ลงคือยังไม่ดับไปก็ตาม  แต่ต้องอยู่รู้เห็นกับมันด้วยความละวางในที ...เพราะบางอาการบางอารมณ์ที่จิตมันปรุงแต่ง มันจะเป็นอารมณ์ที่มันนอนเนื่อง 

นี่ มันไม่สามารถวางได้ขาดแบบเห็นกับตาหรอก เช่นอารมณ์เศร้าอย่างนี้ เอ้า ไม่รู้มันเป็นอะไร อยู่ดีๆ มันก็เศร้าซะอย่างนั้น หรืออารมณ์ ธรรมารมณ์บางธรรมารมณ์ คือความหมอง มัว หม่น ซึมกะทือ

เห็นมั้ย รู้แล้วเห็นแล้ว มันละไม่ขาดหรอก ไม่เห็นความดับไปของมัน ...ก็ต้องอยู่ในที รู้เห็นแบบอยู่ในฝ่ายละวาง ไม่เข้าไปเพิ่มเติมทำอะไรให้มันเป็นไปตามอำนาจนั้นไป

จนกว่าเขาจะแสดงความแปรปรวน แล้วก็ดับไปในที่สุดเอง ...ซึ่งระหว่างนั้นจะต้องตั้งอยู่บนฐานกายใจอย่างมั่นคงเลย

บางอารมณ์นี่ มันจะอยู่ในภาวะที่มันเนียน กลืนเลยน่ะ มาแบบไม่มีต้นสายปลายเหตุน่ะ อยู่ดีๆ มันก็มา มาแล้วมันก็ไม่ค่อยจะไปด้วย ...นี่เป็นธรรมารมณ์ภายใน

นี่ เราจะต้องเรียนรู้กับลักษณะอาการของจิตเหล่านี้...ท่ามกลางที่เรารู้อยู่กับกายใจอยู่ตลอดเวลานี่ ...จนช่ำชองน่ะ จนจัดเจน จนช่ำชอง จนชำนาญ

จนไม่หลงเพลินไปกับมัน ในแง่ใดแง่หนึ่ง ที่ในแง่เป็นจริงเป็นจัง ...แต่มันจะอยู่ในท่าทีด้วยความละและวางอยู่เสมอ คือไม่เข้าไปข้องแวะเกาะเกี่ยวกับมัน

ถ้ามันเห็นลักษณะอารมณ์นี้ แบบนอนเนื่อง เป็นธรรมารมณ์แบบเนื่องอยู่ในพื้นจิตนี่ ...ให้สังเกตดู ถ้ามันเกิดมีอารมณ์อะไรสอดแทรกขึ้นมา เช่นมีเรื่องให้โกรธอย่างยิ่ง มีเรื่องให้ดีใจหัวเราะอย่างยิ่ง 

มันจะเห็นเลยว่า...ไอ้นี่วูบขึ้นมาแล้วก็ดับเลย  นี่ จะเห็นเลยว่าไอ้ลักษณะจิตอย่างนี้...หยาบมากเลย ...แต่ไอ้ตัวที่นอนเนื่องอยู่นี้ไม่ดับเลย

เห็นมั้ยมันมีหลายเลเวลนะ...ของอารมณ์ในจิตนี่ ...เพราะนั้นว่ากำลังภูมิสติปัญญาระดับนุ่นมีเม็ดนี่ มันไม่สามารถสมุจเฉทในทุกอารมณ์ได้หรอก

เราต้องเข้าใจศีลสมาธิปัญญาของตัวเอง ของผู้ปฏิบัตินั้นเอง ว่าศักยภาพของมันได้แค่ไหน ...ศักยภาพระดับนุ่นมีเม็ดนี่ จะเทียบเท่ากับศักยภาพของนุ่นที่ไม่มีเม็ดเหรอ อะไรอย่างนี้ 

เพราะนั้น มันจะต้องรู้...รู้เลย มันจะไปเปรียบกับศักยภาพของแผ่นดินหรือ นี่คือพระอริยะขั้นสูง มันไม่ได้ๆ ...เพราะนั้นเมื่อมันเกิดลักษณะนี้ ก็ให้เข้าใจ

แล้วก็อย่าไปวุ่นวี่วุ่นวายอะไรกับมัน ไปหมายมั่นอะไรกับมันว่า...ต้องดับต้องหาย ต้องทำยังไงถึงจะไม่มี ทำยังไงถึงจะเคลียร์ ทำยังไงถึงจะโล่ง ทำยังไงถึงจะหมดไป ทำยังไงจะเหลือแต่กายใจล้วนๆ 

ตอนนั้น มันไม่ล้วนได้น่ะ ...แค่กายมีอยู่น่ะดีแล้ว ...แต่จะไปเอาว่ากายใจล้วนๆ กายใจอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินตรงนั้น...มันทำไม่ได้ ...ก็ไม่ต้องไปทำ 


เพราะกำลังของปัญญา กำลังของสติสมาธิ มันไม่ได้ถึงขั้นนั้น ...แต่ก็ดูเอาสิว่าเวลามันมีกิเลสจรไปจรมา  หรืออารมณ์ที่จรไปจรมา มันเห็นแล้วก็ดับ เห็นแล้วก็ชัดเลยว่า...โอ้ย เรื่องเล็กๆ 

นี่ มันกลายเป็นเรื่องเล็กๆ ไปแล้ว ...ซึ่งแต่ก่อนเป็นเรื่องใหญ่นะ อารมณ์แรงๆ ความขุ่น ความไม่พอใจอย่างแรง หรือสุขใจ ดีอกดีใจอย่างแรง มันก็มาเหมือนเป็นลูกไฟแล้วก็วูบไป

แต่ไอ้พวกนอนเนื่องนี่มันไม่เป็นลูกไฟน่ะ มันเป็นคลื่นความร้อนไง คล้ายๆ อย่างนั้น นี่ ยืนพื้น มันนอนเนื่อง ...ธรรมารมณ์ก็มีส่วนละเอียด กิเลสส่วนละเอียดก็จะเป็นลักษณะอย่างนี้

เดี๋ยวพอมัน ลักษณะความหมองมัว ความขุ่นมัวหรือความเศร้าซึมอะไรพวกนี้หายไป ...เดี๋ยวมันก็เป็นอารมณ์ที่ดูเหมือนไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นลอยๆ สบายๆ ดูเหมือนกึ่งสบายกึ่งเฉยๆ

นี่ก็เป็นธรรมารมณ์เหมือนกัน เป็นธรรมารมณ์ที่เนื่องด้วยโมหะเป็นเหตุใหญ่ ...มันก็ต้องค่อยๆ เรียนรู้ด้วยปัญญา โดยอาศัยรากฐานของกายใจเป็นที่ตั้ง 

แล้วก็สังเกตเห็นเอาๆ คอยรู้คอยเห็น ดูมัน สังเกตมัน ไม่ต้องไปเร่งรัดอะไรกับมันหรอก มันก็จะค่อยๆ เกิดความเข้าใจลึกซึ้งเป็นปัจจัตตังภายในผู้ปฏิบัตินั้นเอง

ด้วยความใจเย็น ...ไม่ใช่รู้เห็นอยู่ด้วยความว่าเข้าใจแล้วเกิดความเร่าร้อนกับมัน ...ตัวมันก็เร่าร้อนอยู่แล้ว อย่าไปเร่าร้อนกับมัน

กิเลสคือความเร่าร้อน มันร้อนของมันในตัว ก็อย่าไปเร่าร้อน ...เห็นแล้วมันไม่ดับ เห็นแล้วมันไม่หาย เห็นแล้วจะไปทำยังไงกับมันดี ...นี่ ไปเร่าร้อนกับมันทำไม

แต่ถ้ามันเห็นอยู่บนฐานของศีลสมาธิปัญญาแล้วนี่ มันจะเห็นลักษณะอาการนี้ด้วยความไม่เร่าร้อน แต่ว่าเห็นว่าตัวมันน่ะร้อน ไม่เย็น ขุ่นมัว เศร้าหมอง ...แต่ว่าไม่ได้ไปเร่าร้อนอะไรกับมัน

เพราะว่าอยู่บนฐานของศีลสมาธิปัญญา มันก็เกิดความเป็นศีลสิกขา สมาธิสิกขา ปัญญาสิกขา ..คือมันเข้าไปศึกษา สำเหนียก รู้เห็น...ในที ทำความเข้าใจด้วยความแยบคาย...โยนิโสมนสิการ แบบค่อยเป็นไป

แล้วพอมันหายไป พอมันหมดไป หรือมันหมดวาระของมันไปแห่งลักษณะอาการนั้น ...อย่าเพิ่งกระโดดโลดเต้นตีปีกดีใจ ส่งเฟสส่งไลน์ว่าหนูพ้นแล้ว ข้ามแล้วค่ะ ...เฮอะ

เห็นมั้ย พอกิเลสตัวนึงหมดน่ะ กิเลสตัวใหม่ขึ้นมาแทรกทันที...ความเป็นเรานี่ หูย อยู่กับมันมาตั้งหลายวันแล้ว นี่ ตีปีกเลย หลงแล้วนะ หลงตัวเรา...เราหลงธรรมที่ได้แล้วนะ

ก็ต้องรีบมัธยัสถ์จิต สงวนจิต สงวนเรา สงบเสงี่ยมไว้ ...มันกำลังฟู ฟูๆ เข้าใจว่ามันฟูฟ่องไหม เรานี่กำลังฟูด้วยความยินดี เรามันฟูด้วยว่าชนะมันแล้ว 

เออ เราเหนือมันแล้ว เราเห็นมันแล้ว ...ฟูๆๆ นี่จิตฟู เราก็ฟูไปกับจิต เหมือนกับลูบหัวหมาให้มันนั่ง เวลามันกระโดดโลดเต้นดีใจที่เห็นเจ้าของมา น่ะ มันก็หมอบกระแต

เห็นมั้ย ศีลสมาธิปัญญาด้วยความอ่อนโยนนะ หมอบกระแตอยู่นี่ สงบเสงี่ยม จิตก็สงบเสงี่ยม เราก็สงบเสงี่ยมอยู่ในนั้น ...แล้วก็กายใจนี่มาทดแทน นี่ศีลสมาธิปัญญา ไม่มีคำว่าว่างเว้นเลย

จะละกิเลสตัวนั้น หรือหมดอาการของกิเลสตัวนั้น กิเลสตัวนั้นมันดับ ...อย่าเพิ่งดีใจ อย่าเพิ่งไปเสพสุขข้องแวะ หรือว่าสบายใจแล้ว จะได้วางมือ

จะได้...เออ พักซะหน่อย เหนื่อยมาหลายวันแล้ว คอยตั้งรู้ดูเห็นกับมันมาหลายวันแล้ว จะได้พักสักที ...แน่ะ เห็นมั้ย เปิดช่องนะ เดี๋ยวก็เสยเข้าปลายคางล่ะมึง ทิ้งการ์ดอย่างนี้ ทิ้งการ์ดเหมือนกับนักมวย

ก็รักษาศีล รู้ตัวไว้ ทรงความรู้ตัวไว้ ทรงไว้ ไม่ต้องไปเห่อเหิมกระหยิ่มย่องพองใจกับอะไร ...ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมันเถอะ งานก็ไม่ทิ้ง งานก็ไม่เว้น งานในมรรคก็ไม่ทิ้งไม่เว้น

พากเพียรอยู่อย่างนั้น ไม่ปล่อยปละละเลย ไม่เลิกขวนขวาย ไม่หยุดขุดค้นภายในกายใจปัจจุบัน สร้างวิสัยจนเป็นนิสัย ...เหล่านี้จะเป็นพลวปัจจัยก่อให้เกิดมหาสติ

ไม่ใช่เป็นระดับปล่อยเขาลงไปนับสาม แล้วก็ไปกระโดดขึ้นเชือกชูมือกับกองเชียร์ เฮ้ๆ ...นั่น มันละหน้าที่นักมวย ใช่ป่าว ...ยังไม่น็อค ยังไม่ขาด ยังไม่ตาย ยังไม่หมดยก ยังไม่สิ้นสุด

ยังต้องถือการ์ดไว้ ทิ้งการ์ดไม่ได้ วางศีลสมาธิปัญญาไม่ได้ ...วางอย่างอื่นได้หมดนะ แต่วางศีลสมาธิปัญญาไม่ได้เลย ...คนที่จะวางศีลสมาธิปัญญาได้มีคนเดียว คือพระอรหันต์

ท่านวางเพราะอะไร ท่านวางได้เพราะอะไร ...เพราะท่านไม่สู้กับอะไรแล้ว ท่านไม่ต้องสู้กับอะไรแล้ว ท่านไม่ต้องสู้กับความหมายมั่นในเราในที่ต่างๆ แล้ว

ท่านไม่ต้องสู้กับการปรากฏขึ้นของธรรมทั้งหลายทั้งปวงแล้ว ที่มันพร้อมที่จะให้เป็นเราของเราได้ทุกสภาวธรรม ท่านไม่ต้องสู้ต่อไปแล้ว ท่านวางการ์ดได้ ท่านปล่อยการ์ด ท่านอยู่แบบสบาย

แต่ถ้าต่ำกว่านั้นมานี่ ...ยังวางการ์ด ทิ้งการ์ด ทิ้งศีลสมาธิ อยู่นอกศีลสมาธิ อยู่ด้วยการละเลยในศีลสมาธิปัญญานี่...ไม่ได้เลย


(ต่อแทร็ก 15/28)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น