วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 15/33


พระอาจารย์
15/33 (570723E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
23 กรกฎาคม 2557


พระอาจารย์ –  อยู่คนเดียวแค่ทรงสภาพกายใจก็เหนื่อยแล้ว ไม่ต้องไปเอาเรื่องเอาราวกับทุกข์กับโลกหรอก กับคนอื่นน่ะ ...แค่ทรงสภาพยืนเดินนั่งนอนของตัวเองไปนี่ 

ก็ยังหนีมันไม่พ้น หนีมันไม่ขาด วางมันไม่ได้ ...ก็ต้องอยู่กับมันไป มันเป็นภาวะจำยอม หนีไม่ได้นะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของมันไป เป็นภาวะที่ต้องอยู่กับมัน ...นี่มันเป็นภาระที่มันไม่มีวิธีแก้


โยม –  แค่อยู่กับมันให้ได้

พระอาจารย์ –  ด้วยความยินยอม ...เนี่ย มันชอบมาถามกันว่า อาจารย์สบายดีมั้ย ...สบายยังงั้ย กูต้องยืนเดินนั่งนอน กูคงไม่สบายหรอก...ต้องลากมัน ต้องแบกมัน ต้องหามมัน ทั้งวันน่ะ

นั่งอยู่เฉยๆ นี่ยังต้องทรงกายไว้ให้อยู่เลย ใช่มั้ย ...จะถามว่าสบายดีมั้ย ...ก็งั้นๆ น่ะ ขึ้นๆ ลงๆ ก็งั้นๆ น่ะ ตามประสามัน จะทำให้มันดีกว่านี้ มันก็คงไม่ดีกว่านี้น่ะ

ก็ไม่ไปคิดไปหาอะไรกับมัน เพราะเข้าใจน่ะ...เข้าใจว่ามันเป็นอย่างนี้ เป็นธรรมดาของมัน มันเป็นทุกข์ในตัวของมันเอง เป็นทุกข์ตามสภาพ ไม่มีหรอกที่มีกายแล้วไม่มีทุกข์...ไม่มีหรอก ตราบใดที่กายยังคงอยู่นี่

เออ ถ้ามันตาย...ก็แล้วไป หมดเรื่อง แต่ต้องถามตัวเองให้ได้ ตอบตัวเองให้ได้ว่าหมดจริงรึเปล่า ...อันนี้ทางใครทางมัน ช่วยไม่ได้  ก็เป็นเรื่องหมดแล้วก็หมดเลย สำหรับบางท่านบางองค์บางคน

หรือว่ายังไม่ยอมหมดกับมัน นี่ โดยส่วนมากก็ไม่ค่อยยอมหมดกับมัน ยังคาดหมายอะไรกับมัน ยังฝากผีฝากไข้ ยังเผื่อมีเผื่อได้กับมันอยู่ ...อันนี้ก็ทิ้งเชื้อไว้แล้วกัน...ไว้เกิดใหม่

แต่ถ้าเข้าใจแล้วว่ามันเป็นอย่างงี้ ก็..เออๆๆ จะดี-จะไม่ดี ก็เรื่องของมัน ...ก็ไม่ใช่ผิดหรือถูกนะ ก็มันเป็นอย่างนี้อ่ะ มันไม่เป็นอย่างอื่นหรอก จะให้มันเป็นยังไงมันก็ไม่เป็น มันเป็นอย่างงี้ จะทำไงล่ะ

แล้วจะเอาอะไรกับมันดีล่ะ หนีก็ไม่ได้ จะเอามีดมาเชือดคอก็ไม่กล้า ก็เลยต้องอยู่กับมัน แล้วก็ดูสภาพมันไป แล้วก็ไม่เป็นเดือดเป็นร้อน ...เพราะอะไร เพราะไม่ไปคาดหมายคาดหวังอะไรกับมัน

ไอ้ที่พวกเราเดือดร้อนเพราะอะไร ...เพราะไปคาดหวังกับมัน คาดเอาไว้สูง ไปหมายไว้ไกลเกินความจริง ..แต่ถ้าดูมันไปเรื่อยๆ จนเข้าใจ นี่ จึงจะเข้าใจ

ความเป็นจริงมันเป็นอย่างนี้ จะกี่ปีกี่เดือนมันก็จะเป็นอย่างนี้แหละ..จนวันตาย ...แล้วมันก็จะหนักขึ้นๆ ไปของมัน ไปจบกันที่ก็ตรงลมหายใจสุดท้ายน่ะ...เวทนากับกาย

ไม่มีทางเอาชนะ ไม่มีใครชนะได้น่ะ แม้แต่พระพุทธเจ้า ...ไม่มีใครชนะธรรมชาติได้ ไม่มีอะไรบังอาจมาชนะลบล้างธรรมชาติได้ ...ทั้งหมดคือความอหังการของเรา..ผู้ไม่รู้ เท่านั้นเอง

เมื่อยอมรับสภาพธรรมชาติตั้งแต่ขันธ์ห้า..จนถึงสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ว่ามันเป็นอย่างนี้ ...มันก็จะหมดสิ้นผู้ซึ่งเข้าไปควบคุมธรรมชาติด้วยความโง่เขลา

นั่นแหละ ผู้ที่ทำได้คือเหล่าผู้มีปัญญาสูงสุด จึงจะอยู่กับธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงด้วยความเป็นกลาง ...ไม่ใช่กลางแบบบังคับ ไม่ได้กลางแบบต้องคอยบอกคอยเตือน

แต่มันเป็นกลาง...ด้วยความถ่องแท้ ด้วยปัญญา ด้วยความเข้าใจทุกแง่ทุกมุม ทุกการปรากฏ ทุกแง่ทุกมุมแห่งการตั้งอยู่ ทุกแง่ทุกมุมแห่งองค์ประกอบแห่งการเกิด แห่งการตั้งอยู่

จนไม่สงสัยในการเกิด การตั้ง การดับ ในธรรมทั้งหลายทั้งปวง ...ไม่สงสัยว่านี้ยังเป็นเราไหม ไม่สงสัยในการเกิดว่าเป็นของเราไหม ไม่สงสัยในการตั้งอยู่ว่าเป็นของเราไหม ไม่สงสัยในการดับไปว่าเป็นของเราไหม ไม่สงสัย

มันดูแล้ว เรียนรู้แล้ว สำเหนียกแล้วสำเหนียกอีก จนแจ้งชัดว่าไม่มีเลยความเป็นเราในที่ทุกสิ่งทุกประการ ...มันจึงหมดสิ้นซึ่งพันธะสัญญากับสรรพสิ่ง ไม่ติดหนี้เป็นสินกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง 

จึงเรียกว่าหมดจด เป็นผู้ที่หมดจด เกลี้ยงเกลา ขาวรอบ บริสุทธิ์จิตบริสุทธิ์ใจ ...จะเรียกอะไรก็ได้ ไม่เรียกอะไรก็ได้  จะเชื่อก็ได้ จะไม่เชื่อก็ได้ ไม่มีปัญหาสำหรับผู้นั้น

นั่นแหละสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่า...ลงทุนลงแรง สี่อสงไขยแสนมหากัป...เพื่อให้ถึงที่สุด  แล้วสามารถนำที่สุดนี่มากล่าวสอนผู้คน ...นี่คือจุดนี้ 

ท่านลงทุนถึงสี่อสงไขยแสนมหากัป กว่าจะค้นเจอ แล้วมาสาธยายเป็นภาษา...ทั้งตื้น ลึก หนา บาง ครอบคลุมกิเลสน้อยใหญ่ ครอบคลุมความเป็นไปของสรรพสิ่งในทุกแง่ทุกมุม

เพราะนั้นสาวกนี่เป็นพวกชุบมือเปิบนะ มานั่งมาไหว้ปะลกๆ ...ได้แล้ว ได้ความรู้ ได้ความเห็น ได้ความเข้าใจอันชัดอันตรง หรืองอบ้างตามวาสนาบารมีภูมิปัญญา ...นี่ถือว่าง่ายที่สุดแล้วนะ

ถ้าเทียบกับพระพุทธเจ้า..แต่ละท่านแต่ละพระองค์นี่  สี่อสงไขยแสนมหากัป แปดอสงไขยแสนมหากัป สิบหกอสงไขยแสนมหากัป ...กว่าจะพบหนทางแห่งมรรค

ซึ่งจริงๆ มรรคนี่มันไม่หายไปไหนหรอก  มันมีอยู่ในสามโลกธาตุอยู่แล้ว มันมีอยู่ในสัตว์ในบุคคลอยู่ตลอด  มันไม่เคยหาย และไม่มีอะไรมาทำลายมรรค ...แต่มันเพียงแค่ถูกคลุม บัง ปิดไว้

แล้วเวลาปิดทีนี่ เมื่อหมดสิ้นกัป แห่งพุทธกัป หรือภัทรกัป ...มันบังทีนี่ นับเป็นหลายๆ อสงไขยปี อสงไขยกัปเลย  กว่าจะได้บังเกิดพุทธะขึ้นมาจรรโลงศีลสมาธิปัญญาขึ้นมาใหม่

เพราะนั้น อย่ามัวมานั่งท้อๆ แท้ๆ ปวกๆ เปียกๆ ปล่อยให้เวลามันล่วงเลยผ่านเลยไป...แบบสูญสิ้นเปล่าประโยชน์...กับวิธีการต่างๆ นานา กับเรื่องราวในโลก อารมณ์ในโลก

ถ้ามาเกิดตายนอกพุทธกัป ภัทรกัป นี่ ยาว ยุ่งเลย ...ก็อย่ามาเห็นแก่กินแก่นอนมาก จนละเลย ปล่อยเวลาอายุขัยให้ล่วงเลยผ่านไป หรือไปมุ่งภาวนาสะเปสะปะ หาค้นธรรมไปทั่ว

หาอยู่ในศีล หาอยู่ในสมาธิปัญญา ...อะไรที่มันนอกศีลสมาธิปัญญา อย่าไปหาอะไรกับมัน ไม่มีประโยชน์ เสียเวลา ...หากายใจให้เจอ เข้าถึงกายใจให้ได้ 

รักษากายใจให้อยู่ ทำความแจ้งกายใจให้ได้ ทุกอย่างก็จะงวดลงมาเอง ...อะไรที่งวดลง ...ภพแลชาติ กิเลสความทะยานอยากที่เนื่องออกไปด้วยจิตที่ไม่มีประมาณ

เพราะนั้นไม่ว่าโยมจะมาหาเรากี่ครั้งกี่คราวนี่ ต่อให้เราอายุแปดสิบปี เราก็จะพูดเรื่องเดิม ...เพราะมันมีหนทางเดียว ไม่มีทางสำรอง ไม่มีทางอื่น ไม่มีวิธีอื่น ไม่มีหลักการอื่น

พ่อสั่งไว้ว่ามึงอย่าพูดนอกเรื่อง มันเป็นเดรัจฉานวิชชา ...เดรัจฉานวิชชา หมายถึงเป็นวิชชาที่ต่ำ ที่พาให้เกิดในสามภพ ท่านเรียกว่าต่ำหมด ...มันไม่ได้เป็นวิชชาที่พ้นขันธ์พ้นโลก ท่านถือว่าต่ำ

แล้วไม่ใช่แค่โลกเดียวด้วย...สามโลกเลยนะ ...เพราะบางวิชชาที่ต่ำนี่ บางทีมันพ้นจากโลกมนุษย์ แต่ไปอยู่ในโลกเทวะ โลกพรหม โลกอรูปพรหม ...ท่านก็ยังเรียกว่าต่ำ

เพราะนั้นวิชชาของพระพุทธเจ้ามีวิชชาเดียว วิชชา ๓ นี่ เป็นวิชชาแห่งการหลุดพ้นจากขันธ์และโลก หรือลดทอนการเกิดในขันธ์และโลก ...จึงจะเรียกว่าชอบและใช่ ถูกและตรง

ควรค่าแก่การน้อมนำมาปฏิบัติในชีวิต ไม่ใช่ไปปฏิบัติแค่ในเวลาใดเวลาหนึ่ง นี่ เหล่าสาวกท่านทำ ท่านปฏิบัติมาให้เป็นแบบอย่าง ...ก็รู้จักเอาเยี่ยงอย่างท่านซะบ้าง ไม่เอากิเลสมาเป็นที่พึ่ง ที่อาศัย ที่ชี้นำ

สงฆ์สาวกพระพุทธเจ้า ท่านเป็นแบบอย่างที่ดี ควรแก่การเอาเยี่ยงอย่าง ยากก็ยาก ลำบากก็ลำบาก แต่เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ไปสู่นรก สวรรค์ เดรัจฉาน ...ไปถ่ายเดียวคือนิพพาน

กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ไม่คลุกคลีมาก ...ทุกอย่างน้อยลงหมด ยกเว้นศีลสมาธิปัญญา..มากขึ้น ...นี่คือเยี่ยง นี่คือแบบอย่างให้เอาตาม

ถ้ามันง่ายก็คงไม่มีใครมานั่งฟังเราแล้ว มันคงไปหมดแล้ว กูคงเทศน์ให้ลมแล้วแหละ ...ก็เพราะมันยากไง มันถึงมานั่งกันหน้าสลอนอยู่นี่ ทำให้เราไม่หมดอาชีพ

ก็ต้องใช้วาระที่เหลือพร่ำบ่นไป ไล่ตีไล่ขวิดให้มันเข้าที่เข้าทาง ...ไอ้พวกวัวนอกคอก ไอ้ควายที่ไม่มีหลักผูกน่ะ มันก็ไปหาบ่อน้ำกิน บ่อน้ำซับ บ่อน้ำแช่ของมันไป

ก็ต้องใช้ไม้เรียวบ้าง ถีบเตะบ้าง ...คือควายนี่เกลี้ยกล่อมไม่ค่อยได้หรอกนะ แบบ "ไปเข้าคอกหนูๆ"  มันคงไม่ค่อยฟังหรอก เพราะมันเป็นควาย ไอ้คนพูดน่ะเป็นคน ก็ต้องเฆี่ยนตี

พอมันเข้าคอกแล้วนี่ เขามันก็หด หูมันก็หด หางมันก็หด จากยืนสี่ตีนมันก็เริ่มยืนเป็นสองตีนสองขาขึ้นมาบ้าง ...ก็เริ่มจะฟังภาษาคนรู้เรื่อง ทีนี้ก็ใช้ภาษาดอกไม้

แต่มันก็สันดานเดิมยังไม่เลิก ยังไม่ละน่ะ ...ก็จะลงคลานสี่ตีน เขาเริ่มงอก จะทะลายคอก จะแหกบังเหียนสายตะพายออกไปหาอยู่หากินตามประสาควายๆ ร่ำไป

แล้วก็สอบถามควายข้างๆ กันว่า ที่ไหนมีบ่อน้ำใสให้กูกินโปรดชี้นำ แล้วยังไม่ถึงบ่อนั้น ระหว่างทางก็มีควายสวนมาว่า ชั้นไปบ่อโน้นดีกว่า นั่น ก็จะไปกับเขาอีก

กว่าจะไปตามกลับคอกมาก็เลือดซิบๆ แล้ว โดนเฆี่ยน เจ็บนะ ...แต่มันควายนะ เจ็บแล้วไม่ค่อยจำ แบบ “อาจารย์ก็ว่าไปงั้นๆ ว่าเล่นๆ” ...กูว่าจริงๆ นะเนี่ย ไม่ได้ว่าเล่นๆ

ให้มันจำ ให้มันหลาบ ให้มันกลัว ...ไม่ให้มันทะยานออกนอกกายใจออกไป แล้วไปเห็นดีเห็นงามกับอะไรว่ามันจะเป็นทางมรรคทางผล เป็นทางหลุดพ้นจากความเป็นควาย...สุดท้ายก็เข้าโรงเชือด

อย่าลืม...เดี๋ยวนี้ศีลมีมั้ย สมาธิมีมั้ย ปัญญามีมั้ย ...อย่างน้อยต้องมีศีล ต้องเรียกร้อง ต้องหยั่งลง ต้องค้นหาลงที่ศีล เหยียบหยั่งยืนหยัดลงให้ได้ นิดนึงก็เอา หน่อยนึงก็เอา

กายนี่มันไม่ได้ลอยอยู่กลางอากาศ ไม่ว่านั่งนอนยืนเดิน ยังไงมันต้องมีจุดตกกระทบ ใช่มั้ย อย่างน้อยต้องมีลมหายใจเข้าออก ...มันจะยากแสนยาก ยังไงก็ต้องหยั่งให้เจอ จับให้อยู่ในความรู้สึกใดความรู้สึกหนึ่ง 

ท่ามกลางมรสุม อารมณ์บ้าง เหตุการณ์บ้าง กิเลสบ้าง ภายในบ้าง ภายนอกบ้าง ...ต้องฟันฝ่าเอาศีลสมาธิปัญญา ฟันฝ่าลงสู่ศีลสมาธิปัญญา ...อย่าท้อแท้ อย่าสิ้นหวัง อย่าขี้เกียจ อย่าปล่อยปละละเลย

นั่นแหละ มันจะเป็นคน และจะฟังเรารู้เรื่องมากขึ้น เพราะเราพูดนี่ภาษาคน ให้คนฟัง ...มันยังฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง คือรู้..แต่ไม่ค่อยตรงเรื่อง ยังไม่ตรงดี เพราะมันยังมีสันดานควายแอบอยู่ ...นี่ไม่ได้ว่า...แต่ด่า

แล้วมันก็จะค่อยแปลงสภาพจากควายมาเป็นคน คือไม่ใช่รู้ในฐานะควาย นี่ บุคคลาธิษฐาน "ควาย" ในความหมายจริงๆ คือความไม่รู้ ...อย่าคิดมาก เดี๋ยวมันจะกลับไปนอนร้อง “มอๆ”

นี่ ให้เข้าใจ รู้..แทนที่ไม่รู้ ...นี่คือสติตัวแรก  แล้วก็น้อมให้เกิดสัมมาสติ คือน้อมลงที่กาย ...ไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังแล้ว ถ้าคิดหน้าคิดหลังแล้วมันจะไพล่ออกจากกายหมด

อย่าให้ความคิดหน้าคิดหลังนี่มามีอารมณ์เหนือกว่า มีกำลังเหนือกว่าศีล นี่ ทวนกันอย่างนี้ ...เพราะกายนี่เหมือนหลัก หมายความว่ากายนี่มันเป็นหลัก มันมีอยู่ประจำอยู่แล้ว

แต่จิตนี่มันไม่ชอบอยู่กับหลัก ...ความรู้สึก ความเห็น ความอยาก ความไม่อยากนี่ มันจะทะยานออกนอก ...สติเท่านั้นจะเป็นตัวเชือกรัดจิตให้มัดอยู่กับกาย กับหลัก คือศีลนี่แหละ

เมื่อมันหนีออกจากหลักไม่ได้ ...มันก็เห็นอยู่อย่างเดียวว่ามีหลัก แล้วมันไม่เห็นอะไรนอกจากหลัก นี่ แล้วมันจะไม่เข้าใจหรือว่าหลักนี้เป็นหลักไม้ หรือหลักโคลน หรือหลักดิน หรือหลักปูน

หรือจริงๆ คือหลักมหาภูตรูป ๔ ดินน้ำไฟลมที่ประชุมรวมตัวกันขึ้นมา เนี่ย...ก็ลืมตาตื่น ยันหลับตานอน ก็เห็นแต่หลักทนโท่อยู่อย่างนี้ ...ไม่แจ้งให้มันรู้ไป

คนที่ทำมาอย่างนี้ แจ้งกันมานับไม่ถ้วนแล้ว นับกันไม่หวาดไม่ไหวเลย ...แต่พอดีท่านตายไปหมดแล้ว หาได้ยากในปัจจุบัน ก็เลยมาตอกย้ำในหลักศีลสมาธิปัญญาให้ไอ้พวกขี้เท่อฟังไม่รู้เรื่องเหล่านี้ไม่ได้

นี่คือความเรียวลงของศาสนาไง เป็นสภาพที่หนีไม่ได้ หนีไม่พ้นหรอก ยังไงก็ต้องมีความดับไปเป็นธรรมดา...แม้แต่ศาสนา แม้แต่มรรคผลนิพพาน มันจะต้องถูกครอบคลุมไป เจือจางลง

ก็เอาตัวเองน่ะเป็นตัวจรรโลงศีลสมาธิปัญญาขึ้นมาใหม่ แล้วประกาศธรรมด้วยการปฏิบัติ  ไม่ใช่พูด ไม่ใช่แสดงธรรม แต่ประกาศการดำรงชีวิตของตัวเองด้วยศีลสมาธิปัญญา

เนี่ย คือตัวประกาศธรรม จรรโลงศีลสมาธิปัญญาให้ปรากฏอยู่ในสามโลกธาตุ สืบอายุพระศาสนาโดยไม่ต้องลงทุนเสียเงินเลย


....................................





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น