วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 15/31


พระอาจารย์
15/31 (570723C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
23 กรกฎาคม 2557


พระอาจารย์ –  ลองฝึก ลองมุ่งมั่น ลองตั้งใจ ลองใส่ใจลงที่ความรู้ตัวอย่างเดียว ...แล้วลองดู สังเกตดูว่า มันยังมีอะไรอีกมากมายเลย ที่เรายังวางไม่ได้ แล้วไม่ยอมวาง

ยังมีอะไรอีกมากมายเลยที่มันอยากได้ แล้วมันอยากจะเข้าไปได้ให้ได้ แล้วต้องการที่จะต้องทำให้ได้อีกเยอะเลย นี่เราจะต้องฟันฝ่าความรู้สึกของเรา ที่มันเนื่องจาก "เรา" นี่

ด้วยความพากเพียรอดทนที่จะให้มันน้อยลง วาง ให้มันน้อยลงจนถึงขั้นที่ว่า ตัดใจกับมันได้ ...จนมันเหลือแค่กายใจด้วยความที่เรียกว่าชิวๆ น่ะ

นั่นแหละเรียนรู้การละวาง ด้วยการยืนหยัดอยู่บนฐานของศีลสมาธิปัญญา ...ไม่ต้องไปมากเรื่องมากความอะไรหรอก นั่งรู้ ยืนรู้ เดินรู้ ขยับรู้ ไหวรู้ มีความรู้สึก ตึงแน่นปวดตรงไหน..รู้

ไม่ให้มันห่างหายจากกายกับรู้นี่ เอาแค่นี้ ...แล้วจะเห็นเลยว่า มันยังมีอีกหลายอย่างที่เรายังวางไม่ลง แล้วมันจะรบเร้าๆๆๆ ให้ต้องกระทำอะไรกับมันให้ได้

นี่ต้องฝืนต้องทวนตลอดเลย  ต้องละ ต้องวาง อยู่ตลอดสายเลย ...มันถึงจะยืนอยู่บนฐานของศีลสมาธิปัญญาได้ด้วยความมั่นคงและแข็งแกร่ง

เพราะนั้นการพากเพียรที่จะรักษากายใจให้อยู่คงที่คงตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ห่างไม่หาย ไม่จางไม่คลาย ไม่ขาดไม่เว้น ไม่ไหล ไม่หลง ไม่ลืม...นี่ ท่านเรียกว่ารักษาวิถีแห่งมรรค

ท่านเรียกว่าดำรงอยู่บนฐานที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา ...แล้วท่ามกลางมัชฌิมาปฏิปทานี้ เป็นเส้นทางหรือทางเดินที่ปราศจากหรือไร้ซึ่งอารมณ์...ทั้งยินดีและยินร้าย

เราจะต้องคุ้นเคยกับมันให้ได้ ในสภาวะที่ปราศจากอารมณ์..ทั้งที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ อยู่ท่ามกลางกายใจนี้ ...ไม่มีอะไรหรอกที่ได้มาฟรีๆ โดยที่ไม่ต้องแลก...เราก็จะต้องแลกยินดีและยินร้ายกับที่ไม่มีอะไรตรงนี้

เพราะนั้นไอ้การที่แลกอารมณ์ที่น่ายินดีพอใจ สภาวะที่ดี สภาวะที่น่าพอใจ หรืออารมณ์ที่ยินร้าย อารมณ์ที่ไม่ดี อารมณ์ที่ไม่พอใจ ขัดข้องหมองใจ และการจะเข้าไปกระทำต่ออารมณ์ทั้งสองประการนี้

ท่านบอกว่าให้จาโค...สละ แลกกับการที่ดำรงกายใจอยู่บนฐานปัจจุบันรู้ปัจจุบันเห็น ...ไม่มีหรอกที่มันจะรู้เห็นกับกายใจโดยที่ไม่แลกกับอะไรเลย...ท่ามกลางปุถุจิต ปุถุชน

ยิ่งแลกยิ่งได้ ...ได้ในที่นี้ ไม่ใช่หมายความว่าได้อะไร ได้อารมณ์อะไร ...แต่ได้ความเป็นกลาง ได้ศีลสมาธิปัญญา ได้รู้ได้เห็นปัจจุบันธรรมปัจจุบันขันธ์...ยิ่งแลกยิ่งได้ ยิ่งทิ้งยิ่งปรากฏ ยิ่งปล่อยยิ่งวาง..ยิ่งชัดเจน

แต่ถ้าไม่แลก..ไม่ได้  มันจะได้สองสิ่งสองประการพร้อมกันไม่ได้ ...ไอ้ที่มันไม่ได้เพราะมันไม่กล้าแลก ไม่กล้าละ ไม่กล้าวาง ไม่กล้าปล่อย ...เป็นห่วง เป็นกังวล เป็นกลัว

นี่เรียกว่าภยาคติ ฉันทาคติ โมหะคติ อยู่ตลอด เป็นเงื่อนไขอยู่ตลอด อย่างนั้นบ้างอย่างนี้บ้าง กลัวจะเป็นอย่างนั้นบ้างกลัวจะไม่เป็นอย่างนี้บ้าง กลัวจะช้า กลัวจะผิด กลัวจะไม่ใช่บ้าง ...นี่ สงสัยลังเลอยู่ตลอด

ถ้าไม่แลกไม่ละมันน่ะ มันก็จะไม่ปรากฏซึ่งกายและใจ..ที่ดำรงคงอยู่ตลอด ทุกลมหายใจเข้าออก ...ความเป็นไปถึงความบริบูรณ์ในศีลสมาธิปัญญาย่อมไม่บังเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่แลกเอากิเลสออกไป ละกิเลสออกไป

กิเลสเกิดที่ไหน ...ไม่ได้เกิดที่กาย กิเลสไม่ได้เกิดที่ใจ  กายไม่มีกิเลส ใจไม่มีกิเลส  กายเป็นธาตุ ใจก็เป็นธาตุรู้  กายเป็นธาตุมหาภูตรูป ...ในธาตุมหาภูตรูป ในธาตุรู้...ไม่มีกิเลส

กิเลสมันอยู่ที่จิต จิตมันอยู่กับอวิชชา อวิชชามันอยู่ท่ามกลางกายใจ หรือมันครอบงำใจไว้อีกรอบหนึ่ง ...ก็ละมันจนสิ้นน่ะ จนไม่มีอะไรให้ละน่ะ 

นั่นแหละก็จะหมดสิ้นซึ่งความเป็นเราไป พร้อมกับกิเลสที่ปรารภไปในที่ต่างๆ ...ซึ่งความเป็นเราไม่ใช่สิ้นสุดที่โสดาบันนะ ไปสิ้นสุดที่พระอรหันต์นั่น 

นั่นจึงจะหมดสิ้นซึ่งความหมายมั่นในที่ทั้งปวงน่ะ ...ท่านใช้คำว่า "ที่ทั้งปวง"  ที่..นี่ไม่ได้หมายถึงเฉพาะแค่รูปหรือนาม คำว่าที่นี่มันรวมหมด...สรรพสิ่ง

ตั้งหลักตั้งฐานให้ดี ตั้งหลักตั้งฐานให้มั่นคง มรรคจะแข็งแกร่งขึ้นเอง แล้วมันจะกระจ่างอยู่ภายใน...ถึงที่มาที่ไปของกิเลส ที่เกิดที่ดับของมัน เหตุที่จะทำให้มันเกิด และเหตุที่จะทำให้มันดับ 

นี่ก็จะแจ้งอยู่ในทีของมันเอง ...ทีนี้ปิดตำรา ปิดหูปิดตา ไม่ต้องไปเงี่ยหูฟัง ไม่ต้องไปเอาตาดูที่อื่นแล้ว ตาภายนอกใช้น้อยที่สุด หูก็ไม่ไปเบ่งบานคอยรับเสียงเป็นหูช้างน่ะ

ปากก็จะสงบ ไม่ค่อยวิจารณ์ ไม่ค่อยมีคำพูด ไม่ค่อยออกความเห็นใดๆ ...มันหมดสิ้นความเห็น มันหมดสิ้นความคิด มันไม่เห็นสาระในความคิด มันไม่เห็นสาระในความเห็นของเราเลย

มันก็เงียบลงไปเองในอายตนะที่มันจะต้องใช้ ...มันก็ไม่จำเป็นจะต้องอาศัยข้อมูลใดๆ จากภายนอกมาน้อมนำให้ถึงนิพพาน ซึ่งบางทีก็ได้แต่พาน..ไม่มีนิพ มันก็พาลไปพาลมา พาลพาโลโฉเก

นั่น มันก็จะเห็นเองว่านิพพานอยู่ที่ไหน...อยู่ตรงที่ไม่มี "เรา" น่ะ ...เมื่อใดมี "เรา" เมื่อนั้นน่ะมีแต่พาล มีแต่พานไว้รองรับอารมณ์ แล้วก็อารมณ์นี้ไม่ชอบ..ทิ้ง อารมณ์นี้ดี..ขึ้นแท่นบูชากราบไหว้

แล้วกราบไหว้คนเดียวไม่ได้ด้วยนะ ต้องให้คนอื่นรู้ด้วย ต้องให้คนอื่นเขารู้ด้วยว่าดีนะเนี่ย  อันไหนไม่ดีก็ทิ้ง ...แล้วก็คอยถือพานไว้รอหาอารมณ์มาใส่ แล้วก็คอยคัดกรองนะ คัดกรองอารมณ์

ไปสอบทานตัวเองดู...ว่าอยู่ในอาการไหน เป็นการภาวนาในศีลสมาธิปัญญา หรือเป็นการภาวนานอกศีลสมาธิปัญญา ...มันจะต้องตอบตัวเองได้ทุกขณะเลย เดี๋ยวนี้ศีลมีมั้ย สมาธิมีมั้ย ปัญญามีอยู่ตรงนี้มั้ย

ถ้าไม่มีก็ให้มีซะ ...ถ้ากำลังภาวนาในท่าทางไหน แล้วกำลังคร่ำเคร่งอยู่ในท่าทางไหน แล้วฉุกคิดขึ้นมา ถามทบทวนว่าศีลสมาธิปัญญาอยู่ไหน หาไม่เจอ...ให้รู้ไว้เลยว่าผิด

ถ้ามันถามแล้วยังเอ๋อ..เอ๋อ อยู่ไหนวะ นี่ให้รู้ไว้เลย...ผิด ...แล้วให้ไปทบทวนเลย ตั้งแต่เริ่มภาวนานี่ กูผิดมากี่รอบแล้ว ...ไม่ต้องใช้เจโตดู ไม่ต้องถามคนอื่น...ตัวเองตอบเอง

ใครจะมารู้ได้เท่าตัวเองล่ะ..กูทำเองกับมือ มันโกหกไม่ได้น่ะ ...บางทีคนเขามาทัก มาบอก จิตเธอเป็นยังงี้ ...เหรอๆ กูยังไม่รู้เลย เอ้า มันเสือกรู้ได้ยังไงวะนี่ กูยังงงเลยมันเป็นอย่างงั้นเหรอ

แล้วดันเสือกเชื่ออีกนะ อู๋ย คร่ำเคร่งใหญ่เลย เขาทักมาอย่างนี้ ตกใจ ไม่รู้เลยนะว่าเป็นอย่างนี้ ขนาดกูยังไม่รู้ แล้วมันรู้ได้ยังไงวะนี่  เฮ้ย แต่ว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะนี่ ของเขามี

โหย เอาใหญ่เลย หาวิธีการที่จะอย่างนั้นอย่างนี้ ...เขาแนะอย่างนี้อย่างโน้นอย่างนั้น เครียดๆๆ ถ้าไม่ทักก็ไม่เครียดนะเนี่ย พอมาทักล่ะเครียดเลย เครียด

อย่าให้อะไรมาชักนำ ชักจูงให้ออกนอกองค์มรรค อย่าให้อะไร..ทั้งตัวเองและผู้อื่นมาชักนำให้ออกนอกศีลสมาธิปัญญาได้ อย่าให้อะไรมันมีความสำคัญมากกว่าศีลสมาธิปัญญาในปัจจุบัน 

จะต้องเทิดทูนศีลสมาธิปัญญานี่ขึ้นเหนือกว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวง ขึ้นชื่อว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงนี่ ถือว่าต่ำกว่าศีลสมาธิปัญญาหมด ...ให้เห็นอย่างนั้นก่อน ท่านถึงเรียกว่าเป็นสรณะ

ตอนนี้จิตพวกเรานี่เอาอะไรเป็นสรณะบ้างล่ะ ไปประเมินเอาแล้วกัน...ทุกอย่างเลย ขนาดไม่มีมันยังหาเลย ...แต่สรณะที่แท้จริงมันกลับปัดทิ้ง ทั้งๆ ที่ว่ามีอยู่  ถ้าไม่เรียกว่าโง่ก็ไม่รู้จะเรียกว่าฉลาดรึเปล่า

ท่านถึงบอกว่าตลอดเวลาที่อยู่นอกศีลสมาธิปัญญา และเราใช้ชีวิตอยู่นอกองค์ศีลสมาธิปัญญาด้วยความที่ไม่รู้สึกเลยว่าผิดนี่ ...ท่านถึงใช้คำว่ามืดบอด หรือว่ามืดมนอนธการ...โดยที่ไม่รู้ตัวด้วยว่ามืดและบอด

นี่คือความผิดพลาดของสัตว์มนุษย์ นี่คือความที่ว่าสัตว์มนุษย์เข้าถึงนิพพานไม่ได้ แล้วไม่ประกอบเหตุแห่งศีลสมาธิปัญญาด้วยความมั่นใจ มั่นคง ตั้งใจ ...มันจึงเกิดภาวะวกวนอยู่ในสามโลกธาตุ 

ต้องรอจนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งมาตรัส แล้วมาชี้นำว่านี้คือมรรค นี้วิถีแห่งมรรค นี้คือวิถีแห่งการปฏิบัติที่จะเข้าสู่องค์มรรค ...ก็ไม่ใช่อยู่ตรงไหน..ก็อยู่ติดเนื้อติดตัวมาตั้งแต่เกิด คือกายใจปัจจุบันนั่นเอง

แต่ศาสนานี่...พอประกาศธรรมมาหลังกึ่งพุทธกาลแล้วนี่ ...มันก็เริ่มโรยราลง เบี่ยงเบน บิดเบือน ครอบงำ...ในความหมาย ในนัยยะ ในความแท้จริงของศีลสมาธิปัญญา

มันก็เป็นไปตามลำดับลำดาแห่งความ มีขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมลง สลายไป แล้วก็ดับไปในที่สุด ซึ่งเรามาอยู่ในยุคที่มันโรยราในความหมายที่ชัดเจนของศีลสมาธิปัญญา

มันจึงเกิดการตีความในศีลสมาธิปัญญาผิดพลาดคลาดเคลื่อน แล้วเอาไปปฏิบัติตามแบบผิดพลาดคลาดเคลื่อน ...หรือตรงก็ตรงแบบเบี่ยงๆ ไม่ใช่ตรงแบบเต็มตัว มันเอียงมันเฉียงกันไป

แต่อย่าลืมนะ ถ้าเฉียงแค่หนึ่งลิปดา อย่านึกว่าแค่เฉียงหนึ่งลิปดานี่ไม่เป็นไรนะ เส้นทางนี้ยาวไกลนะ แค่หนึ่งลิปดานี่ ไม่มีทางเข้าเป้าเลย ...ตรงคือต้องตรงจริงๆ ต้องตรงต่อศีล

ที่ว่าปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ...ต้องตรงต่อศีลสมาธิปัญญาจริงๆ เท่านั้น  มันจึงจะเข้าเป้า..คือที่สุดคือนิพพาน คือความดับโดยสิ้นเชิง ...ไม่ใช่ติดๆ ดับๆ 

มันติดมากกว่าดับน่ะ สุดท้ายไม่ดับเลย ...แรกๆ ก็ติดๆ ดับๆ อยู่นะ  ติดๆ ดับๆ ได้สักพัก..เอ๊ะ ติดมากกว่าดับ แล้วก็..เออ ไม่ดับ เห็นความไม่ดับเป็นของดีไปเลยบางครั้ง เอ้า ...นี่แค่หนึ่งลิปดานะ

แต่เดี๋ยวนี้มันไม่หนึ่งลิปดากันน่ะ มันผิดไปสามร้อยหกสิบองศาน่ะ จนมันวกมาตีหัวตัวเองยังไม่รู้เลย...กูผิดตรงไหนนี่ ทำไมทุกข์มันยังไม่หาย ไม่หมดล่ะ

"ภาวนามาขนาดนี้ ทำไมยังร้องไห้กับเรื่องที่เขาพูดแค่คำเดียวนี่ เอ๊ะ ลงทุนภาวนามาตั้งหลายเดือนหลายปี คร่ำเคร่งพากเพียร แต่ทำไมคำพูดประโยคเดียวนี่ แหมมันแปลบร้องไห้สามวันสามคืนไม่เลิกเลย"

หรือไปเห็นอะไรผิดหูผิดตา ผิดความเคยชินที่คุ้นเคยหน่อย เกิดภาวะที่ต่อต้าน...รับไม่ได้ๆ 

นี่ ช่วงที่ผ่านมา ยังเห็นคนมาบอกเลยว่า ไปภาวนาอยู่ด้วย แล้วก็ไปเป่านกหวีดอยู่ด้วย ...อือ มันเก่งนะนั่น มันเก่งเกินพระพุทธเจ้า มันเก่งกว่าพระพุทธเจ้าอีก ว่า..ไม่เป็นไรหรอก เป่านกหวีดด้วย รู้ตัวไปด้วย

เออ มึงโคตรเก่งเลย กูยังทำไม่ได้เลย ...ขนาดกูอยู่ในป่าคนเดียว กูรู้ตัวอย่างเดียวนี่ กูยังแทบไม่ได้ตลอดเวลาเลยนี่ ...มันเป่านกหวีดกลางม็อบว่ารู้ตัวนี่ มันเก่งจริงๆ

การแอบอ้างในธรรม ด้วยคำพูดปากเปล่ามันเยอะเหลือเกิน จนทำให้คนฟังนี่ตกหลุมตกหล่มไปด้วย เพราะว่าท่าทางเขาดูดีดูใช่ ดูน่าจะเป็นไปได้น่ะ โห 

เราคงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ถ้าเป็นเรา...เราคงไม่ทำ ถ้าเป็นเรา..เราจะระวังจิตไม่ให้มันเลือกข้างอะไร ถ้าเป็นเรา...เราจะระวัง ละจิตที่จะลากกายนี้ไปเดินอยู่กลางม็อบนั่นน่ะ

ถ้าเป็นเรานี่ เราจะฟัง เราจะเห็น...ด้วยการที่ไม่เข้าไปตีความว่าถูกหรือผิด ว่าใช่หรือไม่ใช่ ว่าควรหรือไม่ควร ว่าดีหรือไม่ดี ว่าเป็นคุณหรือว่าเป็นโทษ ต่อไปในอดีตหรือไปในอนาคต

เราจะไม่มีจิตออกไปหมาย เราจะมีแต่...เห็นรู้ว่าเห็น นั่งรู้ว่านั่ง ได้ยินรู้ว่าได้ยิน เราจะรู้อยู่แค่นี้ เนี่ยแค่จะรักษาการรู้อยู่แค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ว บอกให้เลย

กับจิตที่มันดิ้น ความรู้สึกของเราที่มันดิ้นรน...ที่จะไปคว้า ที่จะไปหมาย ที่จะไปจับ ที่จะไปจัดการ ที่จะไปทำให้ได้ ที่จะไปทำให้มี ทำให้ไม่มี...กับอะไรข้างหน้า

แล้วก็ดำรงกาย ดำรงความรู้กับกาย...ให้มันยืด ให้มันยาว ให้มันหนา ให้มันแน่น ให้มันชัด ให้มันมั่นคง เนี่ย...ด้วยความยากเย็น พากเพียรอย่างยิ่ง

เห็นมั้ยว่ารู้สองอย่าง รู้กับกาย...รู้กับรู้นี่ ...มีแค่สองอย่าง ...แต่ว่าการที่จะทรงหรือว่ารักษา...ให้มันยืด ให้มันยาว ให้มันมั่นคงนี่ ...ไม่ใช่ของง่ายเลยนะ

วิธีการน่ะง่าย...แต่เอาไปปฏิบัติจริงน่ะยาก ...แล้วอยู่ท่ามกลางโลกที่มีความสับสน อยู่ท่ามกลางหมู่ผู้ปฏิบัติที่คอยป้อนข้อมูลต่างๆ นานา ที่น่าข้องเกี่ยว ที่น่าเอามาทดลอง ที่น่าจะเอามาพิสูจน์ทราบ

เทคนิคต่างๆ นี่ เปลี่ยนมาหลายเปลี่ยนแล้ว ยังไม่จบวิทยาลัยเทคนิคเลย ...เขาให้เรียนแค่สี่ปีนะ สามปีแล้วใช่ไหม สี่ปีก็จบได้แล้วเทคนิค นี่สามปีก็รีไทร์ซะ...เปิดช็อปตั้งหน้าตั้งตาทำงานได้แล้ว

อย่าเรียนแต่วิทยาลัยเทคนิค มีเทคนิคแปลกๆ ใหม่ๆ มหัศจรรย์พันลึกอยู่เรื่อย ตามแทบไม่ทัน นั่น แล้วจะไปตามทำไม มันเยอะเหลือเกิน ...ไม่ต้องตามแล้ว ก็ไม่เอาเทคนิค...เอาหลัก...หลักศีลสมาธิปัญญา

ก็คือรู้ตัว...อะไรเกิดขึ้นก็รู้ตัว อะไรตั้งอยู่ก็รู้ตัว อะไรตั้งอยู่ไม่ดับก็รู้ตัว อะไรดับไปแล้ว ไม่มีอะไรก็รู้ตัว ...ถ้าเอารู้ตัวเป็นหลัก นี่เขาเรียกว่าเอารู้ตัวเป็นหลัก แล้วจะรู้เองว่าทุกอย่างไม่มีอะไร มีแค่รู้ตัว

เมื่อมันรู้ได้อย่างนั้น อยู่กับตัวได้อย่างนั้น แล้วมันจะรู้เองว่า ตัวนี้จริงๆ คืออะไร เป็นใคร..หรือไม่เป็นใคร มันมีหน้ามีตาเหมือนเราไหม หรือไม่มีหน้ามีตาเหมือนใครเลย

หรือมันเป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์ หรือมันเป็นเพียงแค่สิ่งหนึ่ง หรือมันเป็นแค่อะไรอย่างหนึ่ง...ที่ไม่มีความหมาย ที่ไม่มีคุณค่าในตัวของมันเองว่าดีร้ายถูกผิด

อ้อ เพิ่งเข้าใจ อยู่กับมึงมาตั้งนาน เพิ่งเข้าใจว่า มันเป็นอะไรของมันก็ไม่รู้ ...กูหามาแทบตาย กูเพิ่งรู้ว่ากูนี่โง่เหลือเกิน นึกว่าธรรมมันอยู่ตรงนั้น ที่นั้น ที่โน้น ด้วยวิธีนั้นวิธีนี้

โอ เข้าใจแล้วว่านี่มันไม่ใช่เรา มันเป็นเพียงแค่อาการ มันเป็นเพียงแค่การประชุมรวมกันของอาการ ...หาความเป็นชายก็ไม่มี หาความเป็นหญิงก็ไม่เจอ

มันไม่เห็นมีหน้าตาชื่อเสียงติดอยู่ในมันเลย ...มันก็เป็นแค่ความรู้สึกเปล่าๆ หมุนวนสลับสับเปลี่ยนของมันอยู่อย่างนั้น ไม่มีนัยยะสำคัญอะไรแอบแฝงเลย

เอ้า แล้วกูจะเอาอะไรกับมันวะนี่  เฮ้ย แล้วกูจะมาถือมันว่าเป็นของเราได้ยังไงวะนี่  เออ เริ่มเชื่อแล้ว ...อยากเอาสักกายไว้ อยากเอา "เรา" ไว้...ก็ไม่รู้จะเอาไว้ตรงไหน ก็ไม่รู้จะเอาไว้ได้ยังไง

ก็ไม่เห็นว่าอะไรมันเป็นของเราสักอย่างหนึ่งเลย  ตึง แน่น แข็ง อ่อน เย็น ร้อน อ้าว อบ ไหว กระเพื่อม กระเทือน วูบๆ วาบๆ นี่ จะเอาอะไรเป็นเราดีวะนี่

ดูมันเข้าไป เห็นมันที่เดียว ซ้ำซากๆ ลงในอาการเดียวของกาย ดูซิ มันจะไม่เชื่อว่ามันไม่เป็นเรา...ก็ไปอุทธรณ์ฎีกากับพระพุทธเจ้าแล้วกัน เพราะพระพุทธเจ้าท่านบอกแล้ว ประกอบเหตุอย่างไร..ผลอย่างนั้น 

แต่ต้องประกอบเหตุแห่งศีลสมาธิปัญญาจริงๆ นะ ...ไม่ใช่ศีลสมาธิปัญญาที่พวกเราแอบอ้างขึ้นมา ด้วยความเห็นใดความเห็นหนึ่ง ที่ทำให้ศีลสมาธิปัญญานี้ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป

ท่านยืนยัน...เมื่อประกอบเหตุแห่งศีลสมาธิปัญญานี่  ถ้ามันได้ประกอบเหตุอย่างนี้ สัมมาสติอย่างนี้ สัมมาศีลอย่างนี้ สัมมาสมาธิอย่างนี้ สัมมาญาณอย่างนี้ 

ยังไงก็เกิดผล ...ยังไงๆ มันก็เห็นว่ากายนี้ไม่ใช่เราอยู่วันยังค่ำ ...หมดคำกล่าวอ้างแล้ว หมดหนทางที่กิเลสจะมาแอบอ้างว่าเป็นเราอีกต่อไป

นี่ ยืนยันมาตั้งแต่พระพุทธเจ้า แล้วก็สืบทอดการยืนยันมาถึงพระสงฆ์สาวก อริยบุคคล ...จวบจนปัจจุบันนี่ ก็ยังยืนยันกันมาอยู่อย่างนี้

ถึงจุดนี้ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าว่าท่านพูดจริง ท่านไม่เคยโกหกเลย ...ทุกคำกล่าว ทุกคำสอน ทุกคำแนะนำ ไม่ผิดเลย มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ...ผู้ใดประกอบเหตุอย่างนี้จริง ได้ผลจริงทุกประการไป 

ไม่รอชาติหน้าด้วย แล้วไม่ต้องรอให้ใครมายืนยันด้วย มันประจักษ์แจ้งแก่ใจเจ้าของนั้นเอง...ใจผู้รู้ด้วย ไม่ใช่ใจเราด้วย ...ไม่ใช่ยิ่งปฏิบัติไปปฏิบัติมา ยิ่งห่างศีลขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ยิ่งห่างกายห่างใจไปเรื่อยๆ 

แล้วไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ยังงงอยู่เลยนั่น ...หาที่ละหาที่วางไม่เจอ ไม่รู้จะละอะไร ไม่รู้จะวางอะไรดี เพราะมันเยอะไปหมดเลย ...แล้วก็ละไม่ได้สักอย่าง


(ต่อแทร็ก 15/32)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น