วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 15/29



พระอาจารย์
15/29 (570723A)
23 กรกฎาคม 2557


พระอาจารย์ –  แล้วเป็นยังไง ภาวนา มีปัญหาติดขัดอะไร

โยม –  หนูก็รู้สึกตัวไปเรื่อยๆ ค่ะ

พระอาจารย์ –  ชื่อก็บอกแล้วว่ารู้ตัว ตัวก็คือตัว...รู้ก็คือรู้  มีอยู่สองคำนี่ รู้กับตัว ...ตัวไหนล่ะ ตัวคืออะไรล่ะ ตัวกายนั่นแหละ

ถ้ามันนอกเหนือจากกาย ถ้ามันนอกเหนือจากรู้นี่...ไม่เอา ไม่ต้องไปสนใจเลย  ละ วาง ทิ้ง ปล่อย ไม่เข้าไปหยิบจับแตะต้อง ...นั่นแหละเรียกว่ารู้ตัวจริงๆ

ไม่ใช่รู้ไปเรื่อย ไอ้นั่นก็จะรู้ ไอ้นั่นก็จะเอา ไอ้นี่ก็จะไปดู ไอ้นี่ก็จะไปแจ้ง ...มันอะไรผุดอะไรโผล่ขึ้นมาก็จับมาเป็นโยงใยไปหมด นั่นน่ะเขาเรียกว่าฟุ้งซ่าน...ให้ละ

เพราะนั้นอะไรที่มันผุดโผล่ขึ้นมานี่  อะไร...อะไรมันผุดโผล่ขึ้นมา ท่ามกลางความรู้ตัวมันจะมีอะไรผุดโผล่ขึ้นมา


โยม –  ความคิดค่ะ

พระอาจารย์ –  อือ อารมณ์ ความคิด ความเห็น สัญญา ภาษาธรรม นี่ มันผุดโผล่ขึ้นมาท่ามกลางความรู้ตัวใช่มั้ย ...น่าสนใจมั้ย มีสาระมั้ย

ก็เห็นว่ามีสาระกันทั้งนั้น คอยจะเอามาเป็นสาระอยู่เรื่อย ใช่มั้ย ...เป็นผลประโยชน์รึเปล่า หือ มันเป็นผลประโยชน์ของเรารึเปล่า มันเป็นอาการหล่อเลี้ยงเรารึเปล่า ใช่มั้ย

แล้วมันจะทำลายความเป็นเราได้ยังไง หือ ...ก็หาอาหารมาป้อนมันน่ะ มาป้อนตัวเราน่ะ แล้วมันจะละสักกายได้ตรงไหนล่ะ มันจะทำให้ตัวเราอ่อนล้าอ่อนแรง เจือจางจนหมดสิ้นได้ไหม 

เพราะนั้นนี่ อย่าไปให้สาระสำคัญ อาการที่มันผุดโผล่ขึ้นมาท่ามกลางความรู้ตัวนี่ เรียกว่าอะไรรู้ไหม โดยรวม...นิวรณ์ ๕ ...รู้จักนิวรณ์ ๕ ไหม หือ รู้จักรึเปล่า มันมีอะไรบ้าง


โยม –  ฟุ้งซ่าน ง่วง

พระอาจารย์ –  ราคะ พยาบาท อุธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ถีนมิทธะ ๕ อย่าง เห็นมั้ย ลักษณะโดยรวม ๕ อย่างนี่เป็นอะไร เนื้อแท้ของมันเป็นอะไร ...เป็นนามธรรม ใช่ไหม เป็นนามหมด

ถ้าขึ้นชื่อว่านามธรรมนี่ มันเนื่องด้วยจิตหมดแหละ ...แล้วนิวรณ์นี่ท่านว่าไว้ยังไง เอาไว้ทำซากรึไง หือ จะเอาไว้ทำซาก จะเอามาเป็นปุ๋ยหรือ จะเอามาเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงให้ออกดอกออกผลรึไง

ชื่อท่านก็บอกอยู่แล้วว่า นิวรณ์...เป็นตัวกางกั้น ...กางกั้นอะไรรู้มั้ย เป็นตัวกางกั้นสมาธิ แล้วถ้ามันไม่มีสมาธิแล้วจะเป็นยังไง


โยม –  ฟุ้งซ่าน

พระอาจารย์ –  ไอ้ฟุ้งซ่านนั่นมันเป็นอยู่แล้ว มันเป็นก่อนสมาธิน่ะ ฟุ้งซ่าน ...แต่ถ้ามันไม่เป็นสมาธิ มันจะไม่เกิดปัญญา ...เพราะศีลเป็นเหตุให้เกิดสมาธิ เพราะสมาธิเป็นเหตุให้เกิดปัญญา

แล้วเรารู้จักความหมายของสมาธิ แล้วเราอยู่กับความเป็นสมาธิได้แค่ไหน ...แล้วจะถามหาปัญญามาจากอะไร  จะถามการละเลิกเพิกวาง สักกาย วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส จากอะไร

หรือต้องรอให้คนอื่นเขามาบอกว่า ใช่แล้ว วางได้แล้ว โดยที่...กูยังงงเลย กูวางตอนไหนวะ เออ เขาว่าวางได้ก็วางได้ล่ะวะ อย่างนี้...มันใช้ได้ที่ไหนล่ะ

ยกเมฆรึเปล่า มันปัจจัตตังรึเปล่า ทำไมต้องให้คนอื่นมายืนยัน ...ถ้าต้องรอให้คนอื่นมายืนยัน มันจะเรียกว่าเป็นปัจจัตตังยังไง …(ถามโยม) ภาวนามากี่ปีแล้ว


โยม –  สามค่ะ

พระอาจารย์ –  ละกิเลสได้กี่ตัวแล้ว สักกายจางลงกี่เปอร์เซ็นต์ วิจิกิจฉาล่ะ สีลัพพตปรามาสล่ะ มันเบาบางจางคลายลงไปได้บ้างไหม ...มันตอบกับตัวเองได้บ้างไหม

หรือว่าทำไปงั้นๆ น่ะ รอให้มันดีขึ้นมาเอง ...มันคงดีขึ้นมาสักวันหนึ่งล่ะมั้ง ถ้ายังถูลู่ถูกังทำไปอยู่ หรือลูบๆ คลำๆ กันไปอยู่  เนี่ย ภาวนาไปเข้าข้างตัวเองกันไป ปลอบใจตัวเองไป ซักถามคนรอบข้างไป

มันก็เกิดความลังเลสงสัยอยู่ตลอดเวลา เมื่อไหร่จะดวงดี เมื่อไหร่จะได้ เมื่อไหร่จะถึงคราวของเราบ้าง หือ ...ยังจะเอา “เรา” ไปถึงคราวของเราอีกนะ

มันผิดตั้งแต่ตั้งโจทก์ว่าเป็น "เรา" ภาวนาแล้ว “เมื่อไหร่จะเจอธรรมที่มันตรงและใช่ ไม่วกวน” ...นี่ มันวกวนตั้งแต่ออกนอกกายใจแล้ว มันวกวนตั้งแต่ออกนอกกายใจปัจจุบันแล้ว

อะไรล่ะมันเป็นตัวให้วกวน ...ก็บอกแล้วว่าจิต ก็บอกแล้วว่านิวรณ์ ๕  ...แล้วนิวรณ์ ๕ นี่ มันละไม่ได้หรอก เข้าใจมั้ย ปุถุชนน่ะละไม่ได้ มันเป็นอารมณ์ของปุถุ..ปุถุยาโน

เมื่อละไม่ได้แล้วทำยังไง ...ท่านให้ควบคุมไว้ ควบคุม ท่านเรียกว่าควบคุมจิตโดยรวม หรือว่าท่านก็เรียกว่าสำรวมจิต หรือท่านก็เรียกอีกอย่างว่า...เท่าทันจิต

เราจะไม่เรียกว่าดูจิต ...ถ้าดูน่ะ เหมือนไปจงใจให้มันมีให้ดู หรือไปปล่อยให้มันมีเพื่อให้ดู ใช่ไหม ...มันก็ไม่เรียกว่าการควบคุมจิตน่ะสิ มันก็ไม่เรียกว่าการควบคุมระงับนิวรณ์

เพราะนั้นในขั้นตอนนี้ มันยังเป็นแค่ขั้นตอนของการทำสัมมาสมาธิให้ปรากฏนะ ไม่ใช่ขั้นตอนของปัญญาด้วยซ้ำ ปัญญามันจะต้องมีรากฐานมาจากสมาธิที่มั่นคง

นี่เรียกว่าจิตหนึ่ง หรือว่าจิตตั้งมั่นเป็นกลาง จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่ส่ายแส่ จิตไม่มีความเห็น จิตไม่มีอารมณ์ จิตไม่มีความปรุงแต่ง จิตไม่มีอดีตอนาคต ...นั่นแหละจิตหนึ่ง

ที่ท่านเรียกว่าจิตหนึ่งนั้นน่ะ คือหนึ่งในสมาธิ...ที่เป็นสัมมาสมาธิ  ท่านเรียกว่าจิตนี้คือดวงจิตผู้รู้  ไม่ใช่ผู้หลง ไม่ใช่ผู้ไปผู้มา ...เป็นดวงจิตผู้รู้อยู่ 

แล้วอยู่ที่ไหน อยู่กับอะไร ...อยู่กับกาย อยู่กับตัว อยู่กับปัจจุบัน หรืออยู่กับศีล ...กายคือก้อนศีล กายคือก้อนปกติ กายคือก้อนธรรมดาที่มันมีอยู่เป็นนิจ ...ท่านเรียกกายก้อนนี้ว่า “ศีล”  ก้อนศีล ก้อนธรรม

เมื่อจิตที่ถูกควบคุม ระงับด้วยสัมมาสติ ให้มันอยู่กับปัจจุบันกายปัจจุบันรู้ ...นั่นแหละจึงจะเป็นเหตุให้เกิดสัมมาสมาธิ คือจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางอยู่ภายใน ...ไม่ใช่ไปตั้งที่ไหนก็ไม่รู้

ไม่ใช่ไปตั้งมั่นกับอะไรก็ไม่รู้ ไม่ใช่ไปตั้งมั่นกับอันนั้น อันนู้น อันโน้นไปเรื่อยเปื่อย ...มันจะต้องตั้งมั่นอยู่บนกองศีล กองกายกองศีล จึงจะเรียกว่าสัมมาสมาธิ...ไม่ได้เรียกว่ามิจฉาหรือโมหะสมาธิ

เพราะนั้นตัวสติที่เรียกว่าสัมมานี่ ก็คือสติที่น้อมกลับมาอยู่กับศีลกับกายปัจจุบัน ท่านจึงเรียกว่าสัมมาสติ ...ไม่ใช่สติที่รู้ออกนอก รู้กับสิ่งที่มันนอกเหนือกายและใจ 

ถ้าไประลึกรู้อยู่กับสิ่งที่มันอยู่ในอดีตอนาคต เรื่องราว เหตุการณ์ ความเป็นไปต่างๆ อย่างนั้นน่ะ ...การระลึกรู้อยู่กับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ท่านเรียกว่ามิจฉาสติ 

เพราะนั้นมันจะเป็นสัมมาสติได้...ต่อเมื่อมันมาระลึกและน้อมกลับลงมาที่กายปัจจุบันหรือศีลนั่นเอง ...จึงเรียกว่าศีลนี่เป็นกรอบ กายนี่เป็นกรอบ...ที่รวมของขันธ์ทั้งห้า 

ถ้าไม่มีกายก็ไม่มีขันธ์ห้า ใช่ไหม ...ก็เป็นผี เปรต เทวดา อินทร์ พรหม สัตว์นรก อสุรกาย สัมภเวสี นาค ครุฑ ...พวกนี้ไม่มีกายหยาบ ก็แปลว่าพวกนี้ไม่มีขันธ์ห้า 

แล้วในที่กล่าวมาทั้งหมดในสัตว์นี่ เราเป็นประเภทไหน หือ ในความเป็นจริงน่ะเป็นประเภทไหน


โยม –  รูปร่างเป็นคนค่ะ

พระอาจารย์ –  เออ  เห็นมั้ย เห็นนัยยะของศีลไหม  ถ้าออกนอกศีล ถ้าออกนอกกาย หมายความว่าไม่ใช่คน ...หรือถึงเป็นคนก็ไม่ใช่คน เป็นคนแต่ลืมไปว่าเป็นคน เห็นมั้ย ถ้าไม่มีศีลนี่

เพราะฉะนั้น ศีล...เป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นคน เป็นกรอบของขันธ์ห้า ...ถ้าไม่มีศีลก็หมายความว่าไม่เป็นคน ทั้งๆ ที่จริงๆ น่ะเป็นคน

นี่ลงทุนภาวนาแล้ว...ก็ยังมาทำความไม่เป็นคนขึ้นมาอีกหรือไง แล้วมุ่งไปหาความเป็นจริงที่นอกเหนือไปจากความเป็นคนอีกหรือไง มันถูกเพศพรรณวรรณะไหมเนี่ย

ก็บอกแล้วที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้เป็นเลยน่ะ ทั้งเทวดาเปรตอสุรกายสัตว์นรกนี่ ...หมายความว่าตอนนี้นะ แต่ก่อนไม่ว่า แต่ว่าภพชาติปัจจุบันนี่ ยืนยันกับตัวเองได้ไหมว่าเป็นคน ไม่ใช่สัตว์ในภพอื่น ใช่ไหม

ก็ตั้งใจเป็นคนหน่อยได้ไหม ...ท่านถึงบอกว่าให้รู้ตัวไง มันจะได้รู้ว่า เออ กูเป็นคนนะนี่ ...แล้วอะไรที่มันจะพาให้ออกนอกความเป็นคนล่ะหือ อะไร หือ


โยม –  จิต

พระอาจารย์ –  แล้วจะไปดูมันทำไม แล้วจะไปให้ค่าให้ความสำคัญกับมันทำไม ...แล้วจะทำยังไงกับมันดี เอาไว้ทำพันธุ์ดีไหม หือ เอาไว้เป็นที่สร้างภพและชาติต่อไปในอดีตและอนาคตไหม

นิพพานก็ไปได้ด้วยนะ หือ ไปถึงนิพพานเลยนะ ...มันจะไปได้ยังไง กูยังงงเลย มันไปนิพพานนอกศีลได้ยังไง หือ ฝันน่ะถึง หรือมีลูกหาบลูกคู่คอยสนับสนุนก็น่าจะใช่ ...แต่ในความเป็นจริงไม่น่าใช่

นี่ เห็นนัยยะความหมายความสำคัญของคำว่า “รู้ตัว” ไหม มันรวมความถึงศีลสมาธิปัญญาหมดเลย ...พอมารู้เข้าจริงๆ นี่ รู้สึกดิ ลองรู้ว่านั่ง รู้ถึงความรู้สึกในการนั่ง ไม่ต้องรู้อย่างอื่นเลย จะรู้สึกว่ายังไง หือ


โยม –  เป็นร้อนๆ

พระอาจารย์ –  อือ มันรู้สึกว่าไม่มีอะไรเลย ใช่ไหม รู้สึกว่าไม่ได้อะไรเลย ใช่ไหม ไม่ได้อะไรเลยสักอย่างใช่ไหม ...เออ ใช่เลยล่ะ นั่นน่ะ

ไอ้ที่ได้ ไอ้ที่มี ไอ้ที่เป็นน่ะ...ใคร ไอ้ที่พาให้ได้ พาให้มี พาให้เป็นน่ะ...อะไรแต่เวลามันรู้ตัว ไอ้ที่ให้ได้ให้มีให้เป็น ไอ้ที่ทำให้ได้ทำให้มีทำให้เป็น...มันไม่เกิดน่ะ

แต่ว่า “หนูไม่ชอบ” ใช่มั้ย ...มันไม่มัน มันไม่เจ๋งว่ะ มันเอาไปคุยกับคนอื่นไม่ค่อยได้ว่ะ มันไม่ค่อยเวิร์คว่ะ ...เหล่านี้ คือความน่าจะมีน่าจะเป็นของ “เรา” มันไม่เกิดน่ะ

แล้วอยากเกิดรึไง แล้วอยากให้มันเกิดอีกรึไง แล้วภาวนามาเพื่อให้มันเกิดรึไง ...ถ้าอย่างนั้นก็ไปเป็นศาสดาก่อน ไปตั้งศาสนาใหม่มา ไม่ใช่ศาสนาพุทธ

ก็พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เกิดน่ะ หรือให้ออกจากความเกิดน่ะ หือ ...แต่กูมาภาวนาเพื่อให้มันเกิด ให้มี ให้เป็นอะไรสักอย่างนึงน่ะ ...ไม่งั้นนอนไม่หลับ

“วันนี้ไม่มีสภาวะอะไรเกิดเลย เออ นอนไม่หลับ” ต้องทำให้มันเกิดขึ้นมาให้ได้ ...มันไปตั้งศาสนาใหม่ไป ไอ้นี่มันภาวนาขัดแย้งกับพ่อแม่เลยนี่ ลูกนอกคอกรึเปล่า

ก็พระพุทธเจ้า...พ่อสอนยังไงล่ะ ครูบาอาจารย์สอนยังไงล่ะ ตามหลักธรรมมา ...ไม่ได้สอนให้พาไปเกิดเลยนะ ไม่ได้พาให้ไปหาอะไรขึ้นมาใหม่เลยนะ

ไอ้ที่มันยังไม่เกิดก็ไม่ต้องไปสร้างเหตุปัจจัยให้มันเกิด ไอ้ที่มันกำลังเกิด ก็ไม่ต้องไปสนับสนุนให้มันเกิดต่อ ...เออ ถ้าอย่างนี้พอคุยกันรู้เรื่องนะ เป็นลูกพ่อแม่เดียวกันอยู่

ไม่ใช่นั่งรอ นั่งดู นั่งคอย...วันไหน เมื่อไหร่ว้า จะอย่างงั้น จะเป็นอย่างงี้ ...นี่ ถ้าได้ ถ้าเห็น ถ้าเป็น...อิ่มอกอิ่มใจ เหมือนเขาแล้ว เหมือนกันเลย คนนั้นคนนี้ 

มันรู้สึกอิ่ม ปลื้ม ยิ่มแฉ่งเลย ว่าภาวนาได้ผล ...แต่ผลคือการเกิดนี่น่ะ หือ ไม่น่าจะใช่นิโรธนะ ...ได้ผลคือการเกิดน่ะ อือ น่าจะได้ศาสนาใหม่แล้วนะนี่

อริยสัจสี่ ท่านก็บอกว่าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ...นิโรธแปลว่าดับโดยสิ้นเชิง แต่กูกลับได้ผลคือการเกิด ไม่มีวันดับ ...แล้วจะให้มาทำให้มันดับนี่...ไม่มีวันซะหรอก เฮอะ

ถ้ามันดับไปนี่ อู้ย ตีโพยตีพาย ร้องแรกแหกกระเชอ ทำไมถึงเป็นยังงี้  เรียกร้องหาวิธีการ หลักการ ตำรับตำรา ค้นหาตามหน้าเว็บว่าทำยังไงจะคงอยู่ ให้มันมีใหม่ขึ้นมาอีก ...มันศาสนาอะไรวะนี่

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่เคยสอนให้เกิดนะ ท่านบอกว่าการเกิดเป็นทุกข์ ...การเกิดเป็นทุกข์นะ การตั้งอยู่ก็เป็นทุกข์นะ การดับไปก็เป็นทุกข์นะ

แต่ทำไมนักปฏิบัติธรรมมันแสวงหาการเกิดใหม่อยู่เรื่อย  เกิดไปเกิดมา เกิดนั้น เกิดนี้ เกิดโน้น เกิดแล้วเดี๋ยวก็ได้เกิดเป็นโสดาบันนะ เดี๋ยวตายจากโสดาบันกูก็จะเกิดเป็นสกิทาคา

เอ้า ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวกูก็เกิดเป็นอนาคา ใกล้แล้วกูๆ ...นี่ มี “กู” ด้วยนะ ใกล้แล้วกู ใกล้ถึงฝั่งแล้วกู ...เอ๊ะ มันภาวนายังไงกันไอ้ "กู" นี่

(ต่อแทร็ก 15/30)






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น