วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 15/27 (1)


พระอาจารย์
15/27 (570713B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
13 กรกฎาคม 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เมื่อรู้ว่ามันบกพร่องอย่างนี้ ก็ต้องแก้ให้ถูก เจริญให้ตรงต่อธรรมที่มันบกพร่องไป ...อย่าไปหมายธรรมอดีต-ธรรมอนาคตใดๆ

เนี่ย การทบทวน ต้องหมั่นทบทวนตัวเองอยู่เสมอ ว่ามันบกพร่องในส่วนไหน แล้วจะแก้อย่างไร ที่เรียกว่าแก้ตรงต่อจุดนั้นๆ

ถ้าอยากให้จิตตั้งมั่น ก็ไม่ต้องไปนั่งหลับตาอะไร ...ก็ต้องรู้ว่าทำยังไงถึงจิตจะตั้งมั่น ไม่ไปวิเคราะห์เอาเอง ไม่ไปเชื่อคำวิเคราะห์ต่างๆ นานา จากคนอื่น

ให้มันมั่นอกมั่นใจในศีลสติปัญญาที่ได้ยินได้ฟังมาอย่างนี้ เช่นนี้  ให้มันเป็นตัวเข้าไปส่งเสริมสนับสนุนองค์มรรค...ในแต่ละส่วนในองค์มรรค

ความเจริญงอกงามในธรรม ในองค์มรรค ความแข็งแกร่งในองค์มรรค มันก็จะเริ่มปรากฏขึ้นอยู่ภายในนั่นเอง ...ไม่ต้องไปหาภายนอก ไม่อาศัยเลย ไม่ต้องไปอาศัยวิธีการภายนอก

มันได้ทุกท่าทาง ได้ทุกอิริยาบถ ได้ทุกสถานที่ ...เป็นมรรคดำเนินอยู่ภายใน สร้างมรรคอยู่ภายใน ด้วยสติในปัจจุบัน ด้วยสติระลึกรู้กับกายปัจจุบัน ด้วยจิตตั้งมั่นอยู่กับกายปัจจุบัน

นั่นแหละ ทำอยู่แค่นี้ อะไรที่มันเกินกาย อะไรที่มันนอกกาย อะไรที่มันยิ่งกว่ากาย อะไรที่มันออกนอกปัจจุบันกายนี่ ...ต้องตั้งกฎกติกากับตัวเองว่าไม่เอา

แม้ว่ามันจะดูดี ดูสนับสนุนว่าเหนือกว่าคนอื่น ดูจะเอามาใช้ได้ต่อไปภายภาคหน้าก็ตาม...ไม่เอาคือไม่เอา ...เหล่านี้ มันจะมาบิดเบือน บดบัง

อะไรก็ตามที่มันจะมาทำให้กายจืดจางหายไป หมดไป หรือว่าคลุมจนมืดมิดในกายที่กำลังแสดงความเป็นอยู่...มีความปรากฏขึ้นในปัจจุบันนี่ ...ก็ต้องรีบละรีบเลิกออกแล้ว

เช่นสมมุติว่ากำลังเมามันในการคุยอย่างนี้ ...พอสักแวบหนึ่ง สัมมาสติมันเกิดระลึกขึ้นมาว่า เฮ้ย กูกำลังทำอะไรอยู่วะเนี่ย แล้วดูหากายใจมันไม่เจออยู่

แล้วเมื่อเกิดสติขึ้นอย่างงั้นน่ะ ...ต้องกล้าเลยนะ ต้องเข้มแข็งเลยที่จะลุกขึ้น แล้วกลับออกจากวงสนทนา ...ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ตามมาคือวงแตกแล้วถูกด่าตามหลัง

อย่างนี้ คือการละโดยฉับพลัน ทั้งภายนอกและภายใน โดยไม่มีคำต่อรอง ...แน่ะ กิเลสมันจะต่อรอง ขนาดว่าเกิดสติระลึกว่า..เอ๊อะ กำลังหลงอยู่นะเนี่ย ...แต่ก็ยังปล่อยให้มันคุยต่ออย่างนี้

นี่ ยังปล่อยให้มันอยู่ท่ามกลางกระแสกิเลสหมุนวนภายในภายนอกอยู่อย่างนี้  ไม่รีบเลิก ไม่เลิกละ ไม่รีบถ่ายถอน ตั้งแต่ภายนอกเป็นต้นมา จนกลับมาอยู่ภายใน ตั้งต้นอยู่ภายในถ่ายเดียว

เพราะนั้นการละการถอนจากภายนอกนี่ อาจจะถอนด้วยความละมุนละม่อมก็ได้ ...ขอตัวนะ ปวดห้องน้ำ จะไปขี้  แล้วก็เข้าห้องขี้ แต่ไม่ได้ขี้ กูกลับบ้านเลยอย่างนี้ก็ได้ ...นี่โดยละมุนละม่อม

หรือว่าโดยหักหาญ...ก็ลุกขึ้นไม่ต้องพูดต้องจา กำหนดลงที่กาย ก้าวเดินไปด้วยความอาจหาญ แล้วแต่วิสัย ...แต่เสียงก่นด่า เสียงติฉินเสียงซุบซิบนินทา มีแน่

นี่แหละคือผลพวงที่อยากมัวเมาในความคุยนัก อานิสงส์ตามมา คือหลง หลงคุย ...เพราะนั้นมันจะมีอานิสงส์นะ มีผลกรรมหรือวิบากกรรมตามหลัง

แต่ถ้าเก็บมาคิดหรือไปกังวลอยู่กับมัน เดี๋ยวก็อดไม่ได้ที่จะไปทำความเข้าใจ...ให้ทุกคนเขาเข้าใจว่าเพราะเหตุใดเราถึงต้องทำอย่างนี้ ...เนี่ย มันเสียเวลามั้ยน่ะ

ก็ถ้ากลุ่มนั้นมันอยู่ประมาณสักห้าสิบคนล่ะเอ้า สมมุติ ...จะต้องไปไล่ทำความเข้าใจกับทุกคนเหรอ ว่าที่อิชั้นหรือผมทำอาการนี้ เพราะจะรักษาศีลสมาธิปัญญาภายใน ...มันคงเข้าใจกันล่ะนะ

ซึ่งส่วนมากเราบอกให้เลยว่า มันจะบอก “กูไม่เข้าใจมึงหรอก” เนี่ย ...แต่ก็ยังอดคิด อดเกรงใจ อดกังวลแทนไม่ได้ กลัวเขาจะเสียใจ กลัวเขาจะน้อยใจ กลัวเขาจะเข้าใจเราผิด

เห็นมั้ย อานิสงส์น่ะๆ มันก็มาเป็นสัญญาเผาไหม้อยู่ภายใน เนี่ย เพราะปล่อยให้มันหลงตามไปนานน่ะ

แต่ถ้าระวังเท่าทันอยู่เสมอ พูดแค่ประโยค-สองประโยค รีบถอยแล้ว ...มันก็จะเกิดเหมือนกับเป็นการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เห็นมั้ย ศีลสมาธิปัญญาเหมือนจะสร้างอัตลักษณ์ของขันธ์นี้ขึ้นมาใหม่

การดำรงวิถีแห่งขันธ์ การดำเนินชีวิตวิถีแห่งขันธ์ เหมือนมันจะเปลี่ยนอัตลักษณ์ใหม่กลายๆ ค่อยเป็นไป...แรกๆ ...จนคนรอบข้างเขาก็อาจจะรู้สึกว่า ไอ้นี่มันกินยาผิดรึเปล่า 

เนี่ย มันก็มีบ้าง เล็กๆ น้อยๆ นะ ...แต่มันจะเล็กๆ น้อยๆ แล้วค่อยเป็นไปจนถึงกับว่า...เออ มันไม่ได้กินยาผิดหรอก นิสัยมันไปแล้ว มันไปแล้วล่ะ เราก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้น ไม่รู้จะแก้ยังไงแล้ว 

อย่างนั้นน่ะ เขาก็เริ่มวาง ไม่มาเซ้าซี้แล้ว ...ไอ้ที่มาเซ้าซี้ เพราะเราไปให้ความผูกพันไว้

เห็นมั้ย การละนี่ มันค่อยๆ ละ ค่อยๆ ถอนกันมาอย่างนี้ ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด ภายใน ...ไม่ได้ละด้วยอารมณ์ ไม่ได้ละด้วยความพอใจ-ไม่พอใจ ...แต่มันละเพื่อจะเข้าสู่ศีลสมาธิปัญญา

เพราะนั้นไอ้ตัวที่พาให้ละเพื่อจะเข้าสู่ศีลสมาธิปัญญา ...ตัวนี้ท่านเรียกว่าสติ..สัมมาสติ คือระลึกขึ้นเพื่อให้กลับมาอยู่ในศีลสมาธิปัญญา

ไม่ใช่ระลึกด้วยความโกรธ ด้วยความไม่พอใจ แล้วละมันแบบ “กูไม่เอามึงแล้ว” อย่างนี้ ...ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ละด้วยกิเลส ไม่ใช่เอากิเลสไปละกิเลส ...แต่บทแรกเริ่มต้นของการละ มันจะเริ่มที่สัมมาสติ 

แล้วพอมันมาอยู่ลำพัง พูดน้อย ข้องแวะกับผู้คนน้อย ให้ระวัง...สัญญาเดิมมาแล้ว ...มันเปรี้ยวปากๆ อยากจะ “อืม สักหน่อยน่า เอ อยากถามหาความเป็นไปของเขาหน่อยนะ ไม่ได้เจอกันนาน”  

อย่างนี้ มันมี นี่ สะเก็ดสัญญา ความผูกพัน มันอาลัย ...ก็อดทนไว้ ตั้งมั่น ไม่จับมาคิดต่อ ไม่เอามาเป็นอารมณ์ต่อเนื่อง เท่าทัน คอยเท่าทัน

ลักษณะเช่นนี้เหมือนกันน่ะ เหมือนกันกับเราติดเน็ท ติดเฟส ติดกิจกรรมบางกิจกรรมที่คุ้นเคย ดูหนังบ้าง ฟังเพลงบ้าง ไปสถานที่ต่างๆ นานา อะไรก็ตามที่มันมีความสุขสบาย

การละ การเลิก มันจะมีลูกสร้อยตามหลังอยู่อย่างนี้ ...แล้วมันก็ค่อยๆ จืดลงๆๆๆ จืดลงในสัญญา เมื่อมันจืดลง จางลงในสัญญาปุ๊บ สิ่งที่มาแทน ทดแทนขึ้นมา คือความตั้งมั่นของศีลสมาธิปัญญา

เห็นมั้ย ทุกอย่างไม่ใช่ได้มากันอย่างง่ายๆ  ทุกอย่างที่ได้ ทุกอย่างที่จะทำให้เกิดศีลสมาธิปัญญาตามมา การกระทำที่จะทำให้ความมั่นคงของศีลสมาธิปัญญามันอยู่นี่

มันจะต้องมาจากคำว่า “เสียสละ” หรือว่า “จาโค” แลก ...สละนั้นเพื่อแลก “นี้”  สละโน้นเพื่อแลก “นี้” สละนู้นเพื่อแลก “นี้” ...เห็นมั้ย ถ้าไม่สละมันจะแลกกับ “นี้” ไม่ได้

นี่ มันก็ได้ “นี้” ขึ้นมา ...ซึ่งคำว่า “นี้” ขึ้นมานี่ คือศีล สมาธิ ปัญญา ...“นี้” ขึ้นมาคือกายนี้ ใจนี้ ขึ้นมา ...ถ้าไม่สละ มันจะไม่ได้ศีลสมาธิปัญญา

แต่ว่าไอ้ตัวศีลสมาธิปัญญาที่อยู่นี่ มันยังมีต้นตอกิเลสอยู่  ซึ่งมันคอยแต่จะให้สละ “นี้” ไปเอาโน้น ...นี่ก็สละเหมือนกัน แต่สละกายใจ ทิ้งเรือแต่จะไปกระโดดงมปลาในมหาสมุทร หรือทะเลแห่งวัฏสงสาร

เห็นมั้ย มันยังมีเชื้อคอยอยู่ข้างใต้อยู่นะ ...ไอ้นั่นก็น่าอยู่นะ ไอ้นี่ก็..เอ๊ะ จะยังไงล่ะ ไอ้นู่นก็ดี ไอ้โน่นก็มีประโยชน์ ไอ้โน้นก็ไม่ได้นะ สำคัญน่ะ ...เนี่ย มันคอยรบกวนอยู่ข้างในอยู่ตลอด

มันก็...เออ ถ้าตัดสินใจ หรือว่ากำลังของมัน มัวแต่ไปหมกมุ่นอยู่กับมัน จมแช่อยู่กับมัน คิดเรื่องอยู่กับมัน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่กับความคิดอยู่กับอารมณ์นานๆ

มันก็เลยกระโดดออกจากศีลสมาธิ เรียกว่าจาโค..แต่มันจาโคศีลสมาธิปัญญา แล้วเข้าไปเสพเสวยภพแลชาติ ให้ได้เป็นมาเป็นไปซึ่งความสุขความทุกข์ของเรา ความพึงพอใจของเรา

มีความสบายใจของเรา ความเพลิดเพลินของเรา ความได้เป็นผลประโยชน์ของเรา ความมีหน้ามีตาเป็นตัวเป็นตนของเรา ...เนี่ย มันก็จะสละตัวนี้เพื่อแลกกับตัวนั้น

เห็นมั้ย ทุกอย่างไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ทุกอย่างไม่มีอะไรได้มาแบบไม่ต้องทำอะไร ...เพราะนั้นท่านถึงบอกว่า จาโค ปฏินิสสัคโค มุตติ อนาลโย ...สละสมุทัย

ล้อมรอบกายใจนี่คือสมุทัย เป็นที่ตั้งของสมุทัยหมดเลย เป็นที่ตั้งภพและชาติหมดเลย ...แม้กระทั่งกายใจปัจจุบันก็ยังเป็นสมุทัยตัวหนึ่งเลย ยังเป็นที่ตั้งแห่งความเป็นเราเลย

แต่ว่าไอ้ตัวนี้เอาไว้ทีหลัง เป็นตัวไว้ละทีหลัง มันจะละทีเดียวแล้วก็ละได้หมด ...เบื้องต้นจะต้องสละไอ้ตัวสมุทัยภายนอกนี้ซะก่อน ด้วยการจาโค ปฏินิสสัคโค...จะมุตติกับอนาลโย ต้องอย่างนี้ ต้องตรงนี้

แต่เล่ห์เหลี่ยมของจิต เล่ห์เหลี่ยมของเรานี่มันมาก มันก็จะเอาของใหม่มาแลก ให้น่าแลก ให้สำคัญ ให้ดูมีความสำคัญยิ่งขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ ...แบบว่าไอ้นี่ไม่โดน ไอ้นั่นก็ยังไม่โดน พอมาไอ้แบบนี้ล่ะ...โดนเลย


(ต่อแทร็ก 15/27  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น