วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 15/24


พระอาจารย์
15/24 (570711B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 กรกฎาคม 2557


พระอาจารย์ –  แต่ถ้าเรามาดู ด้วยสติ จ่อไว้ จรดไว้ในกายเรื่อยๆ  จะเห็นความเป็นไปวนเวียนซ้ำซาก เดี๋ยวเป็นอย่างงั้น เดี๋ยวเป็นอย่างงี้ เดี๋ยวก็เป็นอย่างนั้น อยู่อย่างเนี้ย

เห็นไปๆ อยู่กับมัน ดูกี่ทีๆ ก็เป็นอย่างเนี้ย ...ไม่ให้ไปคิดเรื่องอื่น ไม่ให้ไปหาที่อื่น ไม่ให้ไปเอาสุขเอาทุกข์มาเป็นเครื่องเสวย เครื่องแสวง เครื่องเสพ เครื่องข้องนะ

ให้มันเห็นอยู่อย่างนี้ วนเวียนๆ อย่างนี้ ...ยืน เดิน เดี๋ยวก็เปลี่ยนจากเดินมาเป็นนั่ง เดี๋ยวก็เปลี่ยนจากนั่งมาเป็นยืน เดี๋ยวก็เปลี่ยนจากยืนมาเป็นขยับ แล้วก็มีความรู้สึกตรงนี้ตรงนั้นตรงโน้น

วนอยู่อย่างนี้ วนไปวนมา ...เห็นอยู่กายเดียว ถ่ายเดียว หน้าเดียว เป็นกายอยู่เบื้องหน้า ...ไม่มีอะไรออกนอกกาย ไม่มีอะไรพาออกนอกกายน่ะ

มันจะเห็นอาการวน ซ้ำซาก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เหมือนเดิม อยู่อย่างนี้ ซ้ำซาก ...เห็นจนเบื่อน่ะ เบื่อกับความซ้ำซากอยู่อย่างนี้ ไม่เห็นมีอะไรเลย มีแต่ความซ้ำซากอยู่อย่างนี้

ไม่ได้เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นดีเป็นร้ายเป็นอะไร ...มันก็เห็นซ้ำซากอยู่อย่างนี้ เหมือนเดิม ธรรมดา เหมือนเดิมอย่างนี้  ไม่ได้ไปแปลงหน้าแปลงตาให้มันด้วยจิตเรานะ

มันก็เห็นซ้ำซาก หน้าเดิม แบบเดิม ความรู้สึกเดิม อย่างเนี้ย วนเวียนๆ หมุนวนอยู่อย่างนี้ มันจะเกิดความเบื่อ ...เนี่ย ไอ้เบื่อตัวนี้ ไม่ใช่เบื่อด้วยโทสะ ไม่ได้เบื่อด้วยความไม่พอใจนะ

แต่มันจะเบื่อที่เรียกว่านิพพิทา ...มาอยู่อะไรกับความซ้ำซากหมุนวนอยู่อย่างนี้ หาสุขกับมันไม่ได้เลย มีแต่ทุกข์ถ่ายเดียวด้วยซ้ำ มีแต่ความไม่คงที่ มีแต่สภาวะที่ทนได้ยากอยู่ในตัวของมัน เบื่อ

พอมันเบื่อแล้วทำยังไงล่ะ ...ไอ้ที่มันเคยเข้าใจว่าเป็นสุข เป็นที่สบาย เป็นที่หาผลประโยชน์แก่เราได้ สุขของเราได้ ...นี่ มันเริ่มไม่ค่อยเชื่อแล้ว มันน่าเบื่อ

พอมันเริ่มน่าเบื่อ เห็นความน่าเบื่อของมัน เห็นความไม่มีอะไรในตัวมัน เห็นความไม่มีเป็นสุข มีแต่ทุกข์ถ่ายเดียวน่ะ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ ไม่คงที่

นี่ มันเริ่มรู้สึกว่าอยากจะหนีออกจากมันแล้ว ไม่อยากอยู่กับมันแล้ว ไม่สมควรจะอยู่กับมันแล้ว...ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในอดีต ทั้งในอนาคตแล้ว

มันก็เรื่องเดียวกันหมด เป็นอาการเดียวกันหมดนี่แหละ ต่อให้เป็นกายข้างหน้า กายขึ้นมาใหม่ ก็เป็นลักษณะหมุนวนเหมือนเดิมอยู่อย่างนี้ ....จะไปเอามาทำไม

มันก็เริ่มคิดว่า หาทางที่จะออกจากมันแล้ว ...นั่นแหละๆ นิพพิทา ที่มันจะเป็นตัวเร่งให้ทำความเพียร ทำความรู้แจ้ง ที่จะไม่เข้ามาข้องแวะกับมัน มาก่อเกิดกับมัน มาอยู่ใต้อำนาจมัน มาอยู่กับมันอีกต่อไป

มันก็ค่อยๆ เข้าไปทำปัญญาให้เกิด ทำความลึกซึ้งให้เกิดขึ้นในกาย...ที่มันเป็นแค่ความหมุนวน...ที่ไม่ใช่เราของเรา ...นี่ โดยไม่ท้อถอยแล้ว

พอถึงตรงนี้ไอ้ที่เคยขี้เกียจ เคยบอกว่าปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมดาของมัน ช่างหัวมัน ไม่ต้องคอยดูคอยแลคอยเห็นมัน ...มันไม่วางมือเลยแหละ

มันจะมีความเข้มงวดในศีลสมาธิปัญญา สติสัมปชัญญะ ...เพื่ออะไร ...เพื่อให้เข้าถึงความเป็นจริงของมัน  จะได้ไม่มาหมุนวนอยู่กับมันต่อไป

ด้วยความถ่องแท้ ด้วยปัญญา ด้วยความรู้จริงเห็นจริง ...นี่ ด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง ไม่เห็นผิด ไม่เห็นพลาด ไม่เห็นคลาดเคลื่อนว่าเป็นเราของเราอีกต่อไป

ทีนี้ ช้างมาฉุดก็ไม่อยู่แล้ว ...ให้ไปเล่นหัว ให้ไปหาความสุขทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส ทางความคิดนึกปรุงแต่ง ล่องลอย เผอเรอ เลื่อนลอย นี่ ไม่ไปแล้วๆ กลัวเสียเวลามากเลย

มันกลับเป็นการว่า แข่งกับเวลาของขันธ์...ที่มันค่อยๆ หมดลงๆ ทุกปัจจุบันนาที ...เหมือนไฟลนก้นเลยนะ พระอริยะขั้นต้นนี่ เหมือนไฟลนก้นแล้วนะ อยู่ไม่ได้น่ะ มานั่งนอนเฉยๆ ไม่ได้ 

มายืนสบาย เดินสบาย นั่งใจลอย นั่งดูวิวทิวทัศน์ โลกเขียว โลกสวย ธรรมชาติ ...นี่ ไม่มีแล้ว ไม่มีเวลาไปตรงนั้นแล้ว ...สัมมาสติ สัมมาสมาธินี่ เข้มงวด...งวดๆๆ ทุกปัจจุบันเลย 

ไม่ปล่อยให้จิตเผลอเพลิน ไม่ปล่อยให้จิตล่องลอย ไม่ปล่อยให้จิตไปคิดแทนคนอื่น ไม่ปล่อยให้จิตไปคิดถึงเหตุการณ์บ้านเมือง ไม่ปล่อยให้จิตไปคิดถึงโลกในอดีตโลกในอนาคต ...นี่ ไม่ไปหาที่ไหนเลย 

หาความเป็นจริงอยู่ภายในนี่...ภายในกาย ภายในขันธ์  การเป็นการไปการมา การเกิดการตั้ง การแสดง การปรากฏขึ้นอย่างไร ท่าทางไหน ไม่ให้คลาดเคลื่อน ไม่ให้เลื่อนลอย ไม่ให้ว่างเปล่า ไม่ให้สูญหาย

ว่างเปล่ามันยังไม่เอาเลย ปล่อยให้จิตว่างๆ ลอยๆ ก็ไม่เอาเลย ...อย่านึกว่าว่างเปล่าแล้วสบาย แล้วว่าใช่...ไม่ใช่นะ  ต้องทำงานอย่างเข้มข้นเลย รู้แล้วรู้อีก ดูแล้วดูอีก

จนถึงธาตุแท้ธรรมแท้ของมัน จนถึงรากเหง้าของกาย ...การปรากฏขึ้น การตั้งอยู่ ที่มา ที่ตั้งของมัน คืออะไร มันอยู่ในท่าทางไหน เป็นของใคร

มันจะวนเวียนๆ ซุกไซ้ไล่เลียงวิจยะธรรมอยู่ เห็นความเป็นไป ระบบที่มันหมุนวน เห็นระบบที่มันหมุนวนเป็นระบบ เป็นซิสเต็มของมัน...ที่ไม่ได้ขึ้นกับใคร ไม่ได้ขึ้นกับของใครเลย

มันเป็นระบบเป็นเครื่องยนต์ เหมือนเป็นกลไก เป็นจักรกลของมัน...โดยธรรมชาติของมัน ที่ไม่ใช่เรา ที่ไม่ใช่ของเรา มันเป็นธรรมชาติของมันจริงๆ

นี่ ลึกซึ้งเข้าไปๆ มันก็ลึกซึ้งเข้าไปอย่างนี้ ...จนเข้าอกเข้าใจอย่างถึงธาตุถึงธรรมจริงๆ นั่นแหละ การภาวนา มันเกิดปัญญาขึ้นมาตลอดเวลาอย่างนี้

แต่ถ้าเราปล่อยปละละเลย จากความเป็นจริงในปัจจุบันกาย ปัจจุบันขันธ์เมื่อไหร่ ...เราก็จะหลงเพลินไปกับโลกในอดีต โลกในอนาคต ซึ่งไม่มีอยู่จริง ซึ่งไม่มีความเป็นจริงในนั้น

(พูดกับโยมที่เพิ่งมา) นี่ ไม่ได้มานานเลยนะ


โยม –  ผมมาแล้ว ผมเข้าไปสองรอบแล้วท่าน ...ไอ้ตอนก่อนมันโล่ง มองเห็นกุฏิท่านเลยน่ะ ตอนนี้มันไม่เห็นน่ะ แล้วเมื่อกี้ผมจะไปหาท่าน ผมเห็นท่านทำปาฏิโมกข์ ก็เลยต้องกลับ ...แล้วท่านสบายดี

พระอาจารย์ –  ก็อย่างเนี้ย เท่าที่เห็น ...เดี๋ยวก็ตายๆ ตามกันไปหมดแล้ว ไม่ต้องกลัว อยู่ไม่เกินร้อย ตายหมด ตายทั้งโลก ...แต่มันจะตายอย่างไร ตายแบบตายไปพร้อมกับรู้เห็นความเป็นจริงหรือไม่ 

หรือตายไปแบบงั้นๆ น่ะ ตายแบบคนทั่วไป ตายทิ้งตายขว้าง ...อย่าให้มันตายทิ้งตายขว้าง ตายแบบรู้เนื้อรู้ตัว ตายแบบเตรียมพร้อมและเข้าใจกับความตาย ว่ามันเป็นอย่างนี้ ...ตายแบบไม่กลัวตาย นะ

อย่ากลัวตาย...แล้วก็ตายไปพร้อมกับความกลัวตาย ...แต่ตายแบบเข้าใจว่ามันจะต้องตายแน่ๆ ไม่เป็นอื่น แล้วก็เออ ยอมรับกับความตาย ยอมรับกับเวทนาก่อนตาย ยอมรับกับความเป็นจริงระหว่างตาย 

แล้วก็นอนดูความตายไป ...เกิด-ไม่เกิดอีกเรื่องหนึ่ง ดูไปเหอะ ดูความตายไปเรื่อยๆ ...เกิด-ไม่เกิดก็ตอนนั้นแหละ อาจจะไม่เกิดก็ได้ ดูไปดีๆ ...ถ้าดูดีๆ นะ อาจจะไม่เกิดเลยก็ได้ 

ถ้าดูไม่ดีก็เกิดใหม่แล้วกัน แล้วก็ได้กายได้ใจมาดูต่อ ...เอาเหอะ ไม่เป็นไร ขอให้มันตายแบบดูความตายไปเถอะ พอเกิดใหม่ก็มาดูความเป็นของมันใหม่ จนกว่ามันจะตายใหม่

ดูจนกว่ามันจะเข้าใจขันธ์น่ะ ดูไปจนกว่าจะเข้าใจระบบน่ะ ...ถ้าไม่เข้าใจก็มาเกิดตายใหม่ เนี่ย เขาให้เกิด-ตาย ไม่ใช่เกิด-ตายมาหาสุขหาทุกข์นะ เขาให้เกิด-ตายมาเพื่อดู...จนกว่าจะเข้าใจ

มึงจะได้ไม่มาเกิดมาตายอีก ไม่ต้องมาเป็นสุข ไม่ต้องมาเป็นทุกข์ ไม่ต้องมาดิ้นรนหาเงินหาทอง หาเรื่องหาราว หาผัวหาเมียหาลูก หาญาติของผัวของเมียของลูก

เวลามันไปเกิดกับอะไรนี่ มันไม่ใช่ไปเกิดกับสิ่งนั้นอย่างเดียว มันยังมี accessories ติดมาด้วยนะ ยืดเยื้อยาวเหยียดเลย ...คือกะว่ากูจะเอาเมีย กูไม่ได้จะเอาแม่ยายพ่อตา

เห็นมั้ย มันก็เลือกไม่ได้ มันยังต้องมีเลย ...ไม่ใช่ว่าได้เมียอย่างเดียวแล้วมันจะไม่มีความเชื่อมต่อนะ เห็นมั้ย ถ้ามันได้เกิดกับอะไรแล้วนี่ โยงใยมันมีอยู่นะ

แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุขมาล่อ ...เอ๊ะ ดีนะ ไม่เป็นไร ไอ้เรื่องพวกนี้ไม่เป็นไร ...แน่ะ เสร็จ ติดกับดัก เข้ากับดัก ...พอเข้ากับดักก็เหมือนกับหนูติดจั่น หาทางจะออกจากกับดักแล้ว

มันไม่มีทางน่ะ...หนูกับกรงขังกับดักนี่ ...ปัญญาระดับหนูหรือจะทะลุกรงขังได้ โดนถ่วงน้ำหมดน่ะ  ไม่มีกำลัง แล้วก็ขยันสร้างกับดัก กี่กับดักแล้ว ก็ไปติดอาหารที่มันล่ออยู่ในกรงหนูน่ะ หือ แค่นั้นน่ะๆ

วันนั้นน่ะมีพวกเชียร์เสื้อเหลือง เชียร์มวลมหาประชาชนแบบกูเป่านกหวีดหน้าดำคร่ำเครียดเลยมา แล้วก็มาอีกไอ้ตอนที่ปฏิวัติแล้ว ...เราก็บอก เป็นไง ชนะแล้วเป็นไง ก็ไม่เป็นไงอ่ะ

สุขมั้ย สุขสบายใจมั้ย ...สบายแล้วไง ตายมั้ย สบายใจแล้วขันธ์มันหายปวดมั้ย มันชนะขันธ์มั้ย  ได้ความสุขนั้นแล้วไง กินอิ่มนอนหลับดีมั้ย หรือมันจะไม่ตายเลย หรือมันจะรู้แจ้งในกองขันธ์ได้ 

เห็นไหม ไอ้ความสุขที่ได้มาก็แค่นั้นน่ะ แล้วก็หมดไป แล้วก็มาทดแทนด้วยความอึมครึม แล้วก็ไม่แน่ใจว่าเดี๋ยวแดงมันจะเกิดใหม่อีกมั้ย มันจะล้างแผ่นดินได้หมดจริงรึเปล่า เห็นมั้ย มันก็ได้เสวยแค่นี้

นี่เขาเรียกว่าเหยื่อ เข้าไปกินเหยื่อแค่นี้ แล้วไอ้ความสุขที่ได้กินเหยื่อนั้นมานี่ สุขทุกข์ที่ได้มาจากการที่ว่า อู้หูย หน้านี่ดำคร่ำเครียดเป่ากันจนคอแหบคอแห้ง ห้อยธงชาติลายธงชาตินี่เต็มตัวไปหมด 

ก็ไม่ว่ากัน เราไม่เลือกข้าง เราข้างพระพุทธเจ้าว่ะ ...แต่เห็นมั้ย ได้เหยื่อล่อมาแล้ว ได้ดั่งใจปรารถนาแล้ว แล้วถามว่าแก้ทุกข์ภัยในขันธ์ได้ไหม เกิดปัญญารู้แจ้งในความเกิดความตายไหม 

แล้วมันแก้สุขแก้ทุกข์ในความเป็นเราของเราได้ไหม ...ก็มานั่งกุมกะโหลกเหมือนเดิม เดือดเนื้อร้อนใจกับคนรอบข้างเหมือนเดิม ทะเลาะเบาะแว้งกันไปมาเหมือนเดิมน่ะ

แต่หารู้ไม่ว่าไอ้ที่ไปกระทำมาน่ะ ลงทุนไปแทบเป็นแทบตายนี่ ...มันไปก่อร่างสร้างหนี้สินกรรมและวิบาก กับบุคคลรอบข้าง ทั้งที่รู้จัก ทั้งที่ไม่รู้จักอีกเท่าไหร่  

แค่เหยื่อล่อเล็กๆ แค่เนี้ย สุขที่จะได้มาหลังจากสำเร็จสมความปรารถนาของเรา ของกลุ่มของเรา ...นี่ แดงมา กูก็ด่า เหลืองมา กูก็ด่า เพราะมันผิดหมดน่ะ 

ทำไมไม่รักษาเนื้อรักษาตัว เอาเวลาให้หมดไปกับการเรียนรู้ดูขันธ์ ให้เกิดความถ่องแท้ อันเนี้ยแก้ได้ ...ไม่ใช่แก้โลกได้นะ แต่ไม่กลับมาอยู่ในโลกเลย

นี่แก้ได้จริงๆ พระพุทธเจ้าสอนให้แก้อย่างนี้ ท่านถึงบอกว่าแก้ได้จริง ...ไม่ใช่แก้ไปแบบเอาไปซุกไว้ใต้หีบใต้พรม...ไม่หายไปไหนหรอก ทุกข์นั้นน่ะ สุขนั้นน่ะ ก็หาสุขหาทุกข์กันใหม่แล้วกัน

ถึงบอกว่า อย่าไปคิดว่าภาวนาเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของเรา  อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องของบางคนที่เขามีนิสัย เราไม่มีนิสัยไม่ต้องทำ ...ไม่มีอ่ะ

ที่ให้เกิดมาเป็นคนนี่ เพื่อให้มาเรียนรู้สภาพขันธ์ สภาพความเป็นจริงในโลก ...เหตุปัจจัยนี่ส่งให้มาเกิดเป็นคน ส่งให้มาเกิดในประเทศไทย ส่งให้มาได้ยินได้ฟังธรรมะ เหล่านี้ไม่ใช่บังเอิญ ไม่ใช่โชค ไม่ใช่ดวง

แต่มันเป็นเหตุที่ให้มาเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความกระตุก เฉลียวใจ ให้กลับมาเรียนรู้ตัวเนื้อตัวของตัวเอง ของสภาพที่แวดล้อมตัวนี่ ว่าความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่เดี๋ยวนี้ ความเป็นจริงที่แท้จริงของมันคืออะไร

เรียนรู้ทีละนิด ทีละหน่อย ทีละน้อยไป ...ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยในความเกิดมา ดีกว่ามัวไปหาเที่ยวหาเล่น มัวแต่ไปหาสุขหาทุกข์ มัวแต่ไปหาความเป็นไปในอดีตในอนาคต ...เปล่าประโยชน์

มันกลับเป็นการพอกพูนเพิ่มพูนความก่อเกิดไปในอดีตอนาคต  ความหมาย ความหวัง ความรอที่จะได้มามีเป็นข้างหน้า คือภพชาติที่จะสืบเนื่องไปไม่จบไม่สิ้น

ทำยังไงล่ะ ถึงจะเกิดความหมดสิ้นไปซึ่งภพและชาติ ทำยังไงถึงจะเห็นว่าความหมดสิ้นไปของภพและชาติ ...นั่นน่ะคือความหมายที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์ที่จะต้องค้นคว้าลงไป

ได้มากเอามาก ได้น้อยเอาน้อย ได้ต่อเนื่องทำไปเลย ...ใครจะทำหรือไม่ทำช่างเขา เราก็ทำไป ประโยชน์ได้กับตัวเอง ประโยชน์ได้กับความเข้าใจของตัวจิตตัวใจของตัวเจ้าของเอง

ความทุกข์ ความสุข ความทะยานในสุขและทุกข์ จะน้อยลงไปเอง ...แล้วจะอยู่ได้ ทนได้...ยิ่งกว่าสีทนได้อีก สียังทนได้แค่สภาวะอากาศนะ 

แต่จิตที่มีปัญญาแล้ว...ทนได้กับทุกสภาวะขันธ์ ทุกสภาวะการณ์โลก ทุกความเป็นไปของขันธ์ ทุกความเป็นไปของโลก ...เอ้า เอาแล้ว

วันนี้เป็นวันสำคัญ เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปี นี่ เป็นวันอาสฬหบูชา เป็นวันแรกที่มีการเทศนาธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นปฐมเทศนา ...ท่านสอนเรื่องทางสายกลาง ท่านสอนเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา 

ท่านสอนเรื่องศีลสมาธิปัญญา ท่านสอนเรื่องมรรค สอนเรื่องอริยสัจ ๔ ความเป็นจริง ...ความเป็นไปของโลก มันอยู่ในระบบของอริยสัจ ๔ ทั้งนั้น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกอย่างมีอยู่แค่นี้

อาการที่ปรากฏขึ้นท่านเรียกว่าทุกข์ 
การที่เข้าไปประกอบกับทุกข์นั้นด้วยความอยากและความไม่อยากท่านเรียกว่าสมุทัย 
การที่รู้เห็นความเป็นไปของทุกข์และสมุทัย ท่านเรียกว่ามรรค 
ผลที่ได้จากการรู้เห็นความเป็นไประหว่างทุกข์กับสมุทัย และคอยละสมุทัยอยู่ตลอดเวลา นั่นเรียกว่าผล

นี่คือท่านสอนวันนี้เป็นวันแรก ที่มีการประกาศธรรมให้ปรากฏขึ้นในสามโลกธาตุ...ไม่ใช่แค่โลกมนุษย์อย่างเดียว

เพราะนั้นการทำบุญ การให้ทานตามควร มันก็จะเป็นอานิสงส์ไป ติดเนื้อติดตัวไป ...แต่ว่าบุญทานแค่นี้ มันเป็นบุญทานภายนอก มันไม่ได้พ้น มันไม่สามารถจะพาให้พ้นการเกิดการตายในขันธ์ได้

ตัวที่จะพาให้พ้นการเกิดการตาย ไม่ต้องมาเกิดมาทำบุญใหม่ ข้างหน้าข้างหลังน่ะ...ภาวนาซะ ทำศีลสมาธิปัญญาภายในให้เกิด ...ทำความรู้เนื้อรู้ตัว 

แล้วก็มาเรียนรู้ว่า การยืนเดินนั่งนอนนี่ แท้ที่จริงแล้วมันเป็นของใคร  ยืนเดินนั่งนอนนี้ ความรู้สึกในการยืนเดินนั่งนอนนี้มันเป็นของใครกันแน่ หรือมันไม่ได้เป็นของใครเลย ...เรียนรู้ซ้ำซากลงไป

ตรงนี้ต่างหาก ที่เป็นเป้าประสงค์สูงสุดที่พระพุทธเจ้าท่านมาตรัสรู้ แล้วมาชี้นำสัตว์โลก

ให้เข้าไปถึงสภาพที่แท้จริง เรียนรู้สภาพที่แท้จริง เข้าใจสภาพที่แท้จริง แล้วปล่อยให้สภาพที่แท้จริงเขาเป็นไปอย่างนี้ โดยไม่เข้าไปข้องแวะเกาะเกี่ยวเลย

เอ้า รับพร... (ให้พรโยม)


…………………….




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น