วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 15/25



พระอาจารย์
15/25 (570712)
12 กรกฎาคม 2557



พระอาจารย์ –  บอกแล้ว แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ รวมลงที่กายใจ ...ถ้าอยากจะเข้าใจ แจ้งในธรรม ต้องมาแจ้งกายแจ้งใจ..สองที่ ...ที่อื่นไม่ต้องไปแจ้งมันหรอก แจ้งกาย-ใจนี่แจ้งหมด

สิ่งที่ทำให้มันผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากธรรม นั่นก็คือจิตปรุงแต่งนั่นเอง ...ถ้ามันไม่มีจิตออกไปปรุงแต่งกับอะไรนี่ สภาพธรรมมันก็ตรง ปรากฏขึ้นตรงๆ อยู่แล้ว

แล้วมันก็ไม่มีอะไร มันก็จะมีแค่กายกับใจแค่นั้นเอง ซึ่งก็จะต้องเป็นที่มีสภาพปัจจุบันธรรม คือเท่าที่ตาเห็น เท่าที่หูได้ยิน เท่าที่กายสัมผัส เท่าที่รสมันสัมผัสลิ้น แค่นั้นเอง

ทุกอย่าง...ความเป็นจริงของปัจจุบันธรรมมีอยู่แค่นั้นเอง ที่กระทบอยู่กับขันธ์อยู่กับกาย  

นอกจากนั้นไปก็ไม่มี ...สภาวะอื่นก็ไม่มีเป็นสภาวะอะไรเลย ล้วนแล้วแต่เป็นสภาวะที่ถูกสร้างถูกปรุงขึ้นมาด้วยอำนาจของจิตหมด อำนาจของอวิชชา ความปรุงแต่ง

เพราะนั้นถ้ามันไม่มี หรือมันระงับ หรือมันหยุดจิต...ให้มันอยู่ที่ใจรู้ใจเห็น ด้วยสมาธิ ปัญญา สติ ศีล นี่ มันทำให้จิตหยุดอยู่กับปัจจุบัน แล้วมันก็หยุดปรุงแต่งกับปัจจุบัน หยุดการปรุงแต่งกับอดีตอนาคตขึ้นมา

เพราะนั้นสภาพธรรมมันจึงปรากฏแค่กาย กับสิ่งที่มากระทบกายปัจจุบันเท่านั้นเอง ...แล้วมันก็กระทบอยู่ในฐานะที่ไม่ได้ถูกบิดเบือนโดยจิตปรุงแต่ง

นั่นน่ะ ก็เรียนรู้ตรงนั้น ...ใจ เรียนรู้ด้วยใจ ด้วยญาณ ด้วยปัญญาญาณ  มันก็จะเข้าใจ ซึมซาบ สภาพความเป็นจริงของกาย กับสิ่งที่มากระทบกายในปัจจุบัน อย่างที่มี อย่างที่เป็น เท่าที่มี เท่าที่เป็น 

โดยปราศจากความบิดเบือนด้วยจิตปรุงแต่ง ...นี่ ความเข้าใจ ความยอมรับต่อสภาพธรรม มันก็บังเกิดความค่อยๆ ยอมรับความเป็นจริงของธรรม ปัจจุบันธรรม ปัจจุบันกาย

ความหมายมั่นแบบบิดเบือนในธรรมจากจิตเรา อวิชชา มันก็ค่อยลดน้อยลงไป ...ก็ยอมรับสภาพธรรมตามความเป็นจริง ตามสภาพปัจจุบันกายปัจจุบันขันธ์...มีอยู่แค่นี้

สัญญา สังขาร วิญญาณ มันก็เกิดขึ้นมาพร้อมกับจิตนั่นแหละ ...ถ้าจิตมันหยุด สัญญาก็ดับ สังขารก็ดับ วิญญาณก็ดับ เหลือเฉพาะกายวิญญาณ ...นี่ สังขารดับ กิเลสก็ไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ 

กิเลสมันจะเกิดขึ้นพร้อมกับจิตปรุงแต่ง หมายมั่น จิตสังขารนั่นแหละ ...นี่ ความเพิกถอนกิเลสก็ค่อยๆ เพิกถอนไปเรื่อยๆ คอยละคอยเลิก กิเลสที่ขึ้นมาพร้อมกับจิต นั่นแหละ ความอยาก-ความไม่อยาก

กิเลสมันขึ้นมาพร้อมกับ “เรา” นั่นแหละ ความปรารถนา ความต้องการ ความเข้าไปมีเข้าไปเป็น การเข้าไปเสวย ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ...คอยละคอยเท่าทัน แล้วให้กลับมาอยู่บนฐานกายฐานรู้อยู่เสมอ

นั่นน่ะ กิเลสมันก็จะค่อยๆ ถดถอยลงไป พร้อมกับความหมายมั่นในเรา ที่มันจะคอยปรุงแต่ง คอยสร้างความน่าจะมี ความน่าจะเป็นขึ้นมา ให้เข้าไปเสวยเป็นภพ เป็นอาหาร คือสุข-ทุกข์ของเรา

ต้องคอยทวนกลับมาอยู่บนกายใจปัจจุบัน บนศีลสมาธิปัญญา ...เพราะว่ากายใจปัจจุบันน่ะ มันสร้างภพสร้างชาติไม่ได้ มันไม่เคยสร้างภพสร้างชาติขึ้นมาเป็นอดีต-อนาคตใดๆ เลย

มีแต่จิต มีแต่อวิชชา มีแต่ความปรุงแต่งน่ะ มันจึงจะคอยไปหาภพหาชาติ หาอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ที่ไม่มีในปัจจุบัน ที่ไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน ...นั่นน่ะจิตมันขยันสร้างภพสร้างชาติ

แล้วถ้าไม่มีปัญญาคอยรู้เท่าทันมัน ก็จะหลงไปตาม ไปสนองไปตามความอยาก ความปรุงแต่งต่างๆ นานาขึ้นมา เป็นภพชาติสืบเนื่องไป ค้างคาเป็นอดีตสัญญาอนาคตไป ไม่จบไม่สิ้น

ก็เพียรละ เพียรเลิก เพียรเท่าทันไว้ ...แล้วก็คอยทวน คอยน้อม คอยหยั่ง ลงในกายใจปัจจุบัน...เสมอๆ ...แล้วก็เพียรรักษาไว้

ตราบใดที่กิเลสมันยังไม่หมดสิ้นไปจากใจ จิตจะไม่หยุดการปรุงแต่งเลย ...ตราบใดที่มันยังไม่หมดสิ้นความหมายมั่นในกายเรา เป็นเรา ในฐานที่เป็นเรา จิตจะไม่หยุดปรุงแต่งเลย

เพราะนั้นท่ามกลางที่มันมีกิเลสแวดล้อมกายใจอยู่นี่ ...ตัวกายใจปัจจุบันหรือศีลสมาธิปัญญานี่ มันจึงเปรียบเสมือนเป็นของแสลงของ “เรา”...ผู้มีกิเลส ผู้เป็นกิเลส ผู้มีความปรารถนาไปในที่ต่างๆ

ศีลสมาธิปัญญามันเลยกลายเป็นของแสลง เป็นของที่ลำบาก เป็นของที่ยาก เป็นของที่ไม่ติดเนื้อต้องใจของ “เรา” นี่...ก็ต้องคอยฝืนกินของแสลง สร้างของแสลงขึ้นมา ท่ามกลางกิเลสแวดล้อม

ไม่อย่างนั้นมันจะพาไปเสวยอารมณ์ที่มันปรุงแต่งขึ้นมาหล่อเลี้ยงกิเลส หล่อเลี้ยงเรา หล่อเลี้ยงความเป็นตัวตนของเรา หล่อเลี้ยงความมีความเป็นไปในอดีต-อนาคตของเรา คือความงอกงามเพิ่มพูนของกิเลส

ก็ต้องคอยน้อม คอยหยั่ง คอยสร้าง คอยทวนมาถึงกายถึงใจอยู่เสมอ ...เป็นของแสลงขนาดไหนก็ต้องฝืน รั้ง สร้าง เหนี่ยว รักษาประคองไว้  แล้วก็ค่อยเพิ่มพูนศีลสมาธิปัญญาให้งอกงาม เติบโต

เหมือนกับเพาะต้นกล้าเล็กๆ ขึ้นมา หล่อเลี้ยงด้วยสติ หล่อเลี้ยงด้วยความพากเพียร ให้ข้าว ให้น้ำ ให้อาหารมัน มันก็งอกงามเติบโตแข็งแรง หยั่งรากลึกลงไป แข็งแกร่งขึ้นมา 

มันก็มั่นคงต่อสภาวะกิเลส ความอยาก-ความไม่อยากของเรา สภาวะแวดล้อมของบุคคล การกระทำ คำพูด เหตุการณ์แวดล้อมขันธ์ ...มันก็ยืนหยัดตั้งมั่นขึ้นมา

พอมันเติบกล้าเติบใหญ่ ศีลสมาธิปัญญาภายใน กลายเป็นหลักเป็นฐานขึ้นมา ...จากที่มันเคยเป็นของแสลง ตัวมันก็กลับเป็นหลักกายหลักใจหลักขันธ์ภายในขึ้นมา

ทีนี้ กิเลสน้อยใหญ่ ความคิดน้อยใหญ่ของเรา ความปรารถนาน้อยใหญ่ของเรา มันก็กลับกลายเป็นของแสลงของศีลสมาธิปัญญาขึ้นมาแทน

จากที่มันเคยเห็นศีลสมาธิปัญญาเป็นของแสลง กินได้ยาก เป็นของลำบาก ...มันก็กลายเป็นของง่าย ของที่ดี ของที่ใช่ ของที่ถูก ของที่ตรง ของที่มีอยู่จริง

ทีนี้กิเลสมันจะเริ่มปรุงแต่งอะไรขึ้นมาล่อ มาหลอก มาลวง มาให้เข้าไปลุ่มหลง มาให้เข้าไปเป็นจริงเป็นจังกับมัน ...ก็เริ่มเห็นว่ามันเป็นของไร้สาระ เป็นของแสลง เป็นทุกข์ 

เป็นของให้เกิดความสืบเนื่องไม่รู้จักจบจักสิ้น เป็นของที่มีแต่ทุกข์ก่อเกิด หมุนเวียนเปลี่ยนไป อย่างนี้ ...มันก็สามารถจะคายทิ้ง ถ่มทิ้งได้ ละวางได้ง่ายต่อความคิดนึกปรุงแต่งไปข้างหน้า ไปไกลไปใกล้ 

ว่าอย่างนี้บิดเบือน แปลความหมายของธรรมไปต่างๆ นานา ...มันก็ยังคงไว้แต่ศีลสมาธิปัญญาเป็นหลักเป็นฐาน คงไว้แต่กายใจไว้เป็นรากฐานความเป็นจริง 

ก็ขัดเกลาไปในกิเลส...ที่มันจะแตกตัวออกมา ไปหมายไปมั่นในที่ใด ไปจริงจัง ไปสร้าง ไปก่อเกิดที่ไหน ...มันก็เห็นแล้วก็ขัดเกลาออกไป

จนมันคงไว้ซึ่งศีลสมาธิปัญญา คงไว้แค่กายใจล้วนๆ คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ธาตุ บริสุทธิ์ขันธ์ คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ใจ 

ใจอันเป็นธาตุรู้อันบริสุทธิ์ จะบริสุทธิ์ขึ้นมาตามลำดับลำดา ...มาแทนที่กิเลส มาแทนที่ความไม่รู้ มาแทนที่ “เรา” มาแทนที่ขันธ์ มาแทนที่โลก มาแทนที่สามโลก ...คือมันสว่างกระจ่างกว่าทุกสรรพสิ่งไป

นี่แหละการปฏิบัติ มันก็มีอยู่...ศีลสมาธิปัญญาเป็นรากฐาน ...จะทอดธุระในศีลสมาธิปัญญาไม่ได้แม้แต่ขณะหนึ่ง

เมื่อใดที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว เมื่อใดที่ไม่มีกายอยู่ในปัจจุบัน เมื่อใดที่ไม่เห็นกายในปัจจุบัน เมื่อใดที่หลงลืมกายไปในปัจจุบัน ...ก็ให้รู้ไว้เสมอว่าหลง เกิดภาวะหลง เกิดภาวะที่เข้าไปมีไปเป็นในภพชาติของจิต

ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ใด ที่ดี ที่ว่าง ที่ไม่มีประมาณ ที่ดูเหมือนใช่ ดูเหมือนถูก ดูเหมือนเป็นธรรม ...ที่นั้นก็ไม่ใช่เป็นที่ที่มีอยู่จริง เป็นที่ที่ออกนอกมรรค ออกนอกผล เป็นที่ที่ออกนอกความเป็นมัชฌิมาปฏิปทา

ต้องละ ต้องทิ้ง ต้องออกจากมัน ...ต้องมาเหยียบมาหยั่งมายึดมาถืออย่างมั่นคงในศีลสมาธิปัญญา อยู่ในปัจจุบันธรรม อยู่ในปัจจุบันเห็น ปัจจุบันรู้ ปัจจุบันเสียง ปัจจุบันรูป ปัจจุบันกายปัจจุบันรู้อยู่เสมอ

อย่าไปอาลัยอาวรณ์ ข้องแวะ เกาะเกี่ยวกับมัน...ให้เด็ด ให้ขาด ให้ปลดเปลื้องความไปเป็นภาระของเราไป ...ไม่ต้องเอามาเป็นภาระ ไม่ต้องเอามาเป็นตัวชี้นำ 

ไม่ต้องเอามาเป็นตัวนำพาไปหา ไปสู่สิ่งต่างๆ ...ความน่าจะมี ความน่าจะเป็น ความสุขความสบายข้างหน้าข้างหลังอะไร...ก็ไม่เอา  จิตมันล้วนล่อหลอกให้ไปให้มาไม่จบไม่สิ้น ในความไม่มีตัวตนสาระแก่นสาร

แต่มันก็พยายามจะขยันปรุงขยันสร้างอะไรมาเป็นเครื่องหลอกล่อ มาเป็นกับดัก อ้างนั้นอ้างนี้ ความเสมอเหมือนธรรม ความยิ่งกว่าธรรมอันไม่มีอยู่จริง

แล้วมันก็ด้วยความที่อ่อนด้อยในปัญญา ก็จะเข้าไปหลงวนในมัน ถูกมันชักลากชักนำไป 

เพราะนั้น เมื่อใดที่มีสติ เป็นสัมมาสติเกิดขึ้น รู้ว่าอันไหนมันหลง มันเผลอ มันเพลินออกไป ...ก็ให้รีบกลับมาอยู่ในที่ในฐาน ในกายปัจจุบัน ในรู้ปัจจุบันกาย

ถ้ารักษากายรักษารู้ ด้วยสติที่เป็นสัมมาอยู่อย่างนี้ ...มันก็จะไม่คลาดเคลื่อนจากมรรค ซึ่งเป็นเส้นทางการปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ ไม่ได้เป็นการปฏิบัติเพื่อให้ได้มามีเป็นในสิ่งต่างๆ 

แต่มันเป็นการปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากขันธ์ หลุดพ้นจากโลก หลุดพ้นจากการเกิดการตายซ้ำซาก หลุดพ้นจากทุกข์ หลุดพ้นจากสุข หลุดพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่าง 

มันหลุดพ้นจากพันธนาการของความปรุงแต่งของจิตของเรา หลุดพ้นจากที่ทั้งปวง ...เรียกว่าหลุดพ้นโดยสิ้นเชิง นั่นแหละเรียกว่า นิโรธ

เพราะนั้น เมื่อใดเวลาใดที่มันไปหลงวนเพลิดเพลินกับอะไร ...เมื่อรู้แล้วให้รีบละ ให้รีบถอย ให้รีบถอน ให้รีบวาง ให้รีบปล่อย ให้รีบทิ้งไป ...ไม่เข้าไปหลงวน สาละวนอะไรกับมัน จนห่างไกลกายใจ 

ถ้าห่างไกลศีลสมาธิปัญญา ห่างไกลจากปัจจุบันความเป็นจริง ห่างไกลจากปัจจุบันธาตุ ปัจจุบันขันธ์ ปัจจุบันธรรม ...ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดความเนิ่นช้า เสียเวลาในการพอกพูนขึ้นซึ่งสมาธิปัญญาภายใน

เพราะขันธ์น่ะ...ในแต่ละขันธ์ แต่ละอายุขัย มันน้อย มันสั้น ...ท่านเปรียบอายุของมนุษย์นี่ เหมือนกับน้ำค้างกลางหาว  มันสั้น มันน้อย มันนิด  เดี๋ยวมันก็ดับ เดี๋ยวมันก็สิ้นแล้ว

แต่มันกลับไปใช้เวลาของขันธ์ให้หมดไปโดยไร้ประโยชน์...ด้วยการที่ปล่อยให้จิตมันไปแสวงหา ค้นหา ในสภาวะบ้าๆ บอๆ ซึ่งไม่มีสาระแก่นสาร ไม่มีอยู่จริง   

แต่มันกลับมุ่งเอาสิ่งที่มันกำลังค้นกำลังหาภายนอก...ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ทั้งที่ห่างไกล อย่างเอาเป็นเอาตาย มุ่งมั่นจริงจัง โดยที่ขันธ์มันก็หมดสิ้นไปทุกลมหายใจ แป๊บเดียวก็ตายแล้ว

สุดท้ายก็จะไม่ได้ความรู้ในธรรม ไม่ได้ปัญญาญาณ ไม่ได้ความรู้เห็นตามความเป็นจริงของขันธ์ของโลก ของมรรค ของศีลสมาธิปัญญา...ที่แสดงความเป็นจริงในช่วงวาระแห่งการอุบัติขึ้นของขันธ์

เพราะนั้นการอุบัติขึ้นของขันธ์ นี่ อย่าไปประมาทตายใจว่าจะอยู่ได้ยืด ได้ยาว ได้นาน ...แล้วก็ใช้เวลาให้หมดสิ้นไปกับการค้นและการหา ไปในที่ต่างๆ สภาวะต่างๆ 

ทั้งธรรมนอก ธรรมข้างหน้า ธรรมข้างหลัง อนาคตธรรม อดีตธรรม หรือธรรมที่มีอยู่ในตำรา  มันล้วนแต่เป็นการค้นหาไป ...ซึ่งในการค้นหามันไม่มีคำว่าสิ้นสุด 

มันก็มีอะไรที่น่าค้นหาไปอยู่ตลอดเวลา อยู่เสมอ ...มันหลอกว่ามี มันบอกว่ามีแล้ว ได้แล้ว  เดี๋ยวก็หลอกว่ามีอีก ได้อีก ข้างหน้าไป ร่ำไป ...ไม่มีคำว่าพอ ไม่มีคำว่าหยุด ไม่มีคำว่าเต็ม ไม่มีคำว่าอิ่ม

ก็ต้องไม่ไปตามอำนาจของการหา ความทะยาน ความไหล ความเลื่อนลอยออกไป ความพุ่งไปของจิต ...เหล่านี้ ต้องละต้องทัน แล้วก็มาเหยียบมาหยั่งกับกายใจ

ซึ่งเป็นของแสลงของกิเลสของเรานี่แหละ ว่ามันไม่ดี มันไม่สนุก ว่ามันน่าเบื่อ ว่ามันไม่ได้อะไร ว่ามันไม่เป็นธรรม ว่ามันไม่มีความรู้อะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ขึ้นมา ว่ามันไม่สามารถละกิเลสได้

นี่ มันล่อ มันหลอก มันลวงทั้งนั้น ตลอดเวลา ...ก็ต้องต่อสู้ทบทวนมัน ไม่ตามอำนาจของจิตนึกคิดปรุงแต่ง ...วางได้ก็วาง ตัดได้ก็ตัด ละได้ก็ละ ทิ้งได้ก็ทิ้ง ดับได้ก็ดับมันไป

อย่าไปเอา อย่าไปต่อ อย่าไปเติม อย่าไปเสวย อย่าไปสร้าง อย่าไปทำตาม ก็กลับมารู้เห็นภายในกาย ยืน  เดิน นั่ง นอน ความรู้สึกเล็กน้อย ใหญ่-ย่อย

วนเวียนอยู่ในกองกาย วนเวียนอยู่ในกองความรู้สึกในกาย วนเวียนอยู่ในรู้ในเห็นกาย ...ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนเดิม ที่เดิม ที่เดียว สิ่งเดียว อารมณ์เดียว อาการเดียว ปัจจุบันเดียว กายเดียว

จนจิตมันไม่สามารถเล็ดลอดออกไปได้ ไปสร้างอะไรมาล่อมาลวงได้  ...ศีลสมาธิปัญญาก็จะเป็นอาหารหลักของใจ เป็นที่ยึด ที่หมาย ที่มั่นที่แท้จริง เป็นที่พึ่งที่แท้จริง เป็นสรณะที่แท้จริง

ไม่อย่างนั้น มันก็จะไปหาที่พึ่งในจิต ที่มันนึกคิดปรุงแต่ง ...แล้วมันก็สร้างสภาวะนั้นสภาวะนี้ ว่าดีว่าร้าย ว่าถูกว่าผิด ว่าใช่ ว่าชอบ ว่าควร เป็นที่พึ่งอยู่ตลอดเวลาในสิ่งที่มันนึกคิดปรุงแต่งขึ้นมา 

เป็นอารมณ์บ้าง เป็นความสุขบ้าง เป็นคุณงามความดีบ้าง เป็นประโยชน์บ้าง แล้วก็เอาตรงนั้นเป็นที่พึ่งไป ...แต่หาสาระแก่นสารไม่ได้ พึ่งไม่ได้จริง มันลวง มันล่อ มันหลอกให้ติด เป็นทุกข์เป็นสุขร่ำไป

สุดท้ายมันก็จะกลับมาเห็น ด้วยความพากเพียร ทบทวนกลับมาอยู่ในกายใจเสมอ ...ก็จะเห็นว่าที่พึ่งที่แท้จริงคือศีลสมาธิปัญญา คือกายใจปัจจุบันนั้นเองน่ะ เป็นที่พึ่งที่แท้จริง

เป็นที่ปราศจากสุข-ทุกข์ในเรา เป็นที่ปราศจากภพและชาติ อดีต-อนาคต ...หรือแม้กระทั่งปัจจุบัน มันก็เป็นภพชาติปัจจุบันเกิด-ดับในปัจจุบัน ไม่มีตกค้างไปเป็นอดีต-อนาคตแต่ประการใด

นั่นน่ะ ความเป็นจริงของศีลสมาธิปัญญา...เป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ อย่างนี้

แล้วพอมันจะไปหาที่พึ่งอื่น ...มันก็เกิดความเท่าทันด้วยปัญญา แล้วก็ละอาการของจิต ความอยากของเรา ที่มันมาพร้อมกับความปรุงแต่งในการกระทบกับสิ่งเร้าต่างๆ ทางอายตนะ

ความตั้งมั่นอยู่ในกายใจ ความตั้งมั่นอยู่ในมรรค ความตั้งมั่นอยู่ในศีลสมาธิปัญญา ความมั่นคงเหนียวแน่น แนบแน่นในศีลสมาธิปัญญานั่นแหละ 

จึงจะเป็นทางรอด ทางออก ...จากความหมุนวนของจิต ความหมุนวนของความเกิดความตาย...ที่ก่อภพสร้างชาติด้วยจิตไม่รู้จักจบจักสิ้น

มันก็หลุดรอดไปได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยความชัดเจน ด้วยความแจ้งในขันธ์ในโลก ในความเป็นจริงของขันธ์ของโลก...ที่ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นเรื่องของเราเลยแต่ประการใด

ล้วนแล้วแต่เป็นของเกิดดับ เกิดดับ ...และในความเกิด ในความดับ ในความตั้งอยู่ ไม่มีอะไรเป็นเราเลยแต่ประการใด ...ล้วนแล้วแต่เป็นความหมายมั่นแบบผิดๆ จากความไม่รู้ทั้งสิ้น

ว่านี้เป็นเรา นั้นเป็นเขา ว่านี้เป็นชาย ว่านี้เป็นหญิง ล้วนแต่บิดเบือนขึ้นมาโดยภาษา ด้วยบัญญัติ ด้วยสมมุติ ด้วยความจำได้หมายรู้ ด้วยความไม่รู้จริง ด้วยความเห็น ต่างๆ เหล่านี้

นี่ มันก็ยังคงไว้แต่กายใจที่เป็นแค่ความรู้สึกเกิดดับ ใจก็เป็นความรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับ ...มันก็เห็นสองสิ่งอยู่แค่นี้ เป็นความจริง

กายก็แสดงความเป็นจริง เกิดดับแบบไม่มีภพไม่มีชาติ ไม่มีความหมาย ไม่มีเรา ไม่มีบุคคล ...ใจก็ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์บุคคล แต่ไม่เกิดไม่ดับ ...ก็อยู่คู่กันอยู่อย่างนี้ ไม่มีอะไร

จิตก็เงียบสงบไป ความปรุงแต่งในจิตก็ค่อยๆ โรยราไป ความหมายมั่นที่เป็นเราขึ้นมา ก็โรยราลงไปเอง...ด้วยศีลสมาธิปัญญา 

เพราะนั้น ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ...ต้องเหยียบหยั่ง ยึดหยั่งลงในกายใจให้ได้...ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน อยู่คนเดียว อยู่หลายคน อยู่กับเหตุการณ์ที่ดี ที่ร้าย ที่เลว ที่ยาก ที่ลำบาก

ก็ต้องคอย ควาน ค้น น้อมนำศีลสมาธิปัญญา กายใจปัจจุบันขึ้นมา...เป็นที่รู้ เป็นที่หมาย เป็นที่ตั้ง เป็นที่ผูก เป็นที่หลัก เป็นที่ยึด เป็นที่เหนี่ยว เป็นที่รั้งไว้ให้ได้

ถึงจะแสลงขนาดไหน ยากขนาดไหน...ก็ต้องทำ ก็ต้องไม่ทิ้ง ก็ต้องสร้าง ก็ต้องรักษาไว้ 

ด้วยความเพียร ด้วยความไม่ย่อหย่อน ด้วยความไม่ท้อแท้ ด้วยความไม่ขี้เกียจ ด้วยความที่ไม่ไปเห็นอะไรดีกว่านี้..แล้วก็ประมาทในความที่มีอยู่ปรากฏอยู่ของกายใจปัจจุบันนี้

ทุกอย่างมันก็จะเป็นไปอยู่ในองค์มรรค ปัญญาความรู้ความเข้าใจก็จะเกิดขึ้นอยู่ท่ามกลางองค์มรรคนั่นเอง การละเลิกเพิกถอนก็จะเกิดขึ้นท่ามกลางองค์มรรคนั่นเอง คือกายใจปัจจุบัน

กิเลสน้อยใหญ่ก็เกิดขึ้นมาให้ละให้เห็นในปัจจุบันกายใจนี้เอง ...มันจะมาก มันจะน้อย มันก็ปรากฏขึ้นตรงนี้ขณะนี้...แล้วก็ละ เลิก เดี๋ยวนี้ขณะนี้ ทุกปัจจุบันไป

ไม่ต้องไปหากิเลสมาละ ไม่ต้องไปสร้างกิเลสมาให้เลิก ...มันไม่มีให้ละให้เลิก..ก็ไม่มี  มันมีเมื่อไหร่ก็ละเลิกมันตรงนั้น  แล้วก็รักษาฐานกายใจไว้ กิเลสมันก็จะค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไป

เมื่อไม่มีผู้ไปตอบสนองต่อกิเลสความนึกคิดความปรุงแต่ง ความน่าจะมี น่าจะเป็นอะไร ในอดีตอนาคตอะไร ไม่กระทำไปตาม สนองไปตามความปรุงแต่งนั้นๆ ...มันก็หมดกำลังไปๆ

กิเลสมันก็ราลงไปๆ จางไป ความทะยานอยากก็น้อยลงไป ความเป็นสุขเป็นทุกข์ข้างหน้าข้างหลัง หรือแม้กระทั่งปัจจุบันก็น้อยลงไป ความเป็นเราก็น้อยลงไป

เพราะไม่มีอาหารการกินให้มันคือสุข-ทุกข์ หรือว่าการทำได้ดังปรารถนาสมปรารถนา..มันก็ไม่มี ...มันก็ไม่มีอาหารการกินให้เติบใหญ่เติบกล้า

ศีลสมาธิปัญญามันก็เติบกล้าเติบใหญ่ขึ้นมาทดแทน ความเป็นจริงก็มาแทนความไม่จริงขึ้นมา 

จนความไม่จริงอยู่ไม่ได้ ความหลอกลวงของจิตอยู่ไม่ได้ ความที่จะเสกสรรปั้นแต่งให้ดูเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมา ...มันก็เริ่มไม่ถือว่าเป็นเรื่องจริงจังอะไรขึ้นมาได้ 

ทุกอย่างก็จะชัดเจนขึ้นอย่างนี้ ยังคงไว้แต่ความเป็นจริงคือกายใจปัจจุบัน ศีลสมาธิปัญญาคือของจริงที่ไม่มีอะไรมาลบล้าง ไม่มีอะไรมาทำลายได้ นอกจากตัวมันเองจะสิ้นสภาพไปด้วยตัวของมันเอง


...............................





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น