วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 15/26



พระอาจารย์
15/26 (570713A)
13 กรกฎาคม 2557



พระอาจารย์ –  จะไปดูอะไรนอกเหนือจากกายใจอีกเล่า ...มุ่งมั่นลงไป หน้าเดียว ที่เดียว ธรรมเดียว กายเดียว รู้กับสิ่งเดียว ...นอกนั้นทิ้งหมด

มันจะเสนอแนะอะไรขึ้นมา หรือมันหาย เผลอ ลืม แล้วไปมีอะไรมาปรากฏทดแทนกายใจ แล้วไปยินดีพอใจ พึงพอใจในสภาวะนั้นที่ดีกว่ากาย ...รีบทิ้งซะ

หากายให้เจอ ท่ามกลางความหลง ท่ามกลางอารมณ์ ท่ามกลางสภาวธรรมอื่น ท่ามกลางสภาวะจิตอื่น หาให้เจอ ...ละให้ได้ ...ได้แล้ว...ละให้ขาด อย่าไปเสียดายมัน

ถ้าหาไม่เจอเราก็บอกแล้วไง สูดลมหายใจแรงๆ ดูกับความกระเพื่อมของลม ...หยาบๆ เลย สูดลมหยาบๆ ลงไปเลย ดึงสติ ดึงจิตมาอยู่กับลม ผูกไว้เลย แล้วค่อยๆ กระจายลมไปทั่วกาย ทั่วอิริยาบถ

ถ้ายังหากายกันไม่เจอจริงๆ ให้ไปยืนอยู่หน้าข้างฝา แล้วเอาหัวโขกลงไปแรงๆ  ดูซิมันจะรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างมั้ย ...เนี่ย ปฏิบัติเหมือนคนบ้านะบางที ปฏิบัติกับกิเลสน่ะ มันหายากหาเย็นซะเหลือเกิน

เวลากิเลสมันครอบงำใจ ครอบงำกาย ครอบงำขันธ์น่ะ เห็นมั้ย ...บางครั้งบางคราวที่เราตกอยู่ในอารมณ์โกรธอย่างยิ่ง ไม่พอใจแบบเลือดขึ้นหน้าอย่างนี้  ดูดิ ภาวะตรงนั้นน่ะ

หากายกับใจไม่เจอจริงๆ นะ ยากจริงๆ ที่จะหาใจหากายเจอตรงนั้น ...จนต้องคอยหรือรอให้มันทุเลาจากสภาวการณ์ตรงนั้น สภาวะอารมณ์แบบนั้นก่อน กายใจถึงค่อยๆ ผุดโผล่ขึ้นมาให้เห็น

แล้วยังไม่พอนะ มันผุดโผล่ขึ้นมาให้เห็นแวบๆ แล้วยังมีสัญญาตามล้างตามผลาญอีกนะ ...จำได้ว่าเมื่อกี้มีอารมณ์ จำได้ว่ามันเคยทำ เคยด่าเราอย่างนี้ เหตุการณ์นี้ไม่ดีกับเรา 

นี่มันยังจำได้อีกเป็นหลายวันหลายเดือนเลย บางทีก็หลายปี หรืออาจจะหลายชาติด้วย ...เนี่ย การปล่อยให้มีอารมณ์ขึ้นมาครอบงำกายใจแล้วนี่ มันจะทำให้เกิดความติดพัน ติดสอยห้อยตาม ยืดยาวเยิ่นเย้อ 

ต้องรีบละ ต้องรีบถอย ต้องรีบถอน ...ยากก็ยาก ลำบากก็ต้องลำบากกันแหละ  ดีกว่าปล่อยให้มันกลืนกินกายใจ กลืนกินขันธ์ แล้วมันก็ขี้ไว้กองใหญ่เลยเป็นสัญญา เยอะแยะไปหมด เป็นอตีตารมณ์อยู่อย่างนี้

อย่าประมาทตายใจนะ อย่าอยู่ลอยๆ นะ อย่าคิดว่าอยู่ลอยๆ แล้วสบายนะ อย่าอยู่โดยขาดศีลสมาธิปัญญาแล้วบอกว่า อยู่ตัวแล้วนะ ...ยังไม่พอนะ ยังวางมือจากศีลสมาธิปัญญาไม่ได้เลย แม้แต่ขณะหนึ่ง

อย่าประมาทเลินเล่อ อย่าทะนงตัว คิดกระหยิ่มใจลำพองใจว่า เคยได้แล้ว ทำถึงแล้ว เข้าใจแล้ว ทำได้แล้ว ทำด้วยความชำนาญแล้ว มันหลอก ยังหลอกอยู่ จิตเรายังหลอกอยู่

ต้องซ้ำซากๆ ไม่วางมือ ไม่รามือ ไม่อ่อนข้อให้กิเลส ไม่อ่อนข้อให้ความหลงใหลเผลอเพลิน ด้วยความขี้เกียจขี้คร้าน ...ไม่ว่าจะอยู่คนเดียว หรือจะอยู่หลายคนก็ตาม 

และแม้แต่ว่าจะอยู่ในระหว่างที่มันไม่มีอะไรอารมณ์ใดก็ตาม ก็ยังปล่อยไม่ได้...ศีลสมาธิปัญญานี่ ก็ยังปล่อยการรู้การเห็นในกองกายกองปัจจุบันไม่ได้

ถึงแม้ขณะนั้นจะไม่มีอารมณ์ใดมาข้องแวะเกาะเกี่ยวก็ตาม จะปล่อยลอยอยู่ท่ามกลางอากาศธาตุไม่ได้ ปล่อยให้กายหายไปในอากาศ รู้หายไปในอากาศ...ไม่ได้ แล้วไปอยู่ในอากาศ...ไม่ได้

เพียรแล้วเพียรเล่า รักษาแล้วรักษาอีก ทะนุถนอม เลี้ยงดูฟูมฟักศีลสมาธิปัญญา แบบไม่วางมือเลยน่ะ ...จนกว่ามันจะไปถึงจุดๆ หนึ่งที่เรียกว่า...มหาสติ  

ถึงตรงจุดนั้นน่ะ ด้วยปัจจัตตัง...จะรู้ได้ด้วยตัวเองเลยว่า เนี่ย คือมหาสติจริงๆ จะเป็นสติสมาธิปัญญาที่รักษากายใจได้เอง ไม่ใช่ต้องสร้างสติสมาธิปัญญามารักษากายใจด้วยการกระทำโดยเรา 

แต่มันจะเป็นสติปัญญาที่เพียบพร้อม คือมันสามารถรักษากายใจด้วยตัวมันเอง โดยไม่มีเจตนาในเรา ...นี่ การทำ การภาวนาแบบไม่ท้อถอย ไม่ย่อหย่อนนั่นแหละ มันจะเข้าไปสู่จุดนั้น

ระบบขันธ์ ระบบโลก...ระบบของธาตุรู้หรือใจ จะแยกออกจากกันอย่างชัดเจนที่สุด ...อำนาจของกิเลสที่มันจะมาร้อยรัด หรือว่าดึงสภาวะธาตุรู้ธาตุใจให้เข้าไปอยู่ใต้อำนาจขันธ์ ใต้อำนาจโลก ใต้อำนาจจิต ไม่มีแล้ว 

มันจะแยกออกจากกันโดยชัดเจน ...ไม่มีว่า “ไม่ชัดเจน” ปรากฏขึ้นได้เลย ไม่มีว่า คลุมๆ เครือๆ ไม่มีสงสัยว่าไอ้นั่นคืออะไร ไอ้นี่คืออะไร ทุกอย่างจะชัดเจนตามความเป็นจริงหมดเลย ...นั่นน่ะ มหาปัญญา

ถึงจุดนั้นน่ะ ไม่ต้องพึ่งอาจารย์ด้วย อาจารย์ไปอยู่ไกลๆ อย่ามาใกล้ ...ซึ่งมันไม่ได้ไล่อาจารย์จริงหรอก มันจะไล่ตัวมันเองเข้าอยู่ในมรรค เพราะมันจะต้องอยู่โดยลำพังอย่างยิ่งเลย 

นั่น มรรคทำงานเองหมด  ไม่มี “เรา” ทำงานเลย ...เป็นศีลสมาธิปัญญาทำงานเอง...ล้วนๆ เลยแหละ เป็นมรรคอันบริสุทธิ์ที่เรียกว่าวิสุทธิมรรค เป็นวิสุทธิมรรคคือศีลสมาธิปัญญาที่ไม่เนื่องด้วยเราโดยตรงเลย

เพราะฉะนั้น นี่คือความสำคัญของศีลสมาธิปัญญา ...สำคัญจนถึงเรียกว่า...การปฏิบัติอยู่ใต้กรอบของศีลสมาธิปัญญา มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดเลย

จะต้องคอยทบทวนตัวเองอยู่เสมอว่า ขณะนี้ เวลานี้ ศีลมีอยู่มั้ย  ความชัดเจนในศีลนี่มีอยู่มั้ย ความชัดเจนในสมาธินี่มีอยู่มั้ย ระดับไหน แค่ไหน  ตั้งมั่นมั้ย มั่นแค่ไหน ตั้งมั่นระดับไหน

ถ้าไม่ได้ระดับดอยเชียงดาวนี่...เฮ่อ อย่ามาพูด ...แล้วเนี่ย ถ้ายังระดับแค่นุ่น...เฮอะ ยังมานั่งกินนอนกินกันอยู่อีกเหรอ ...ดูดิ ต้องตรวจสอบตัวเองกันน่ะ มันตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง 

ต้องตรวจสอบดูสิว่า สมรรถนะ สมรรถภาพของตัวเองน่ะ ยังมานั่งกินนอนกินอยู่ได้ยังไง จะมานั่งปล่อยปละละเลย หาอยู่หากิน หาพูดหาคุย หาไปหาเล่น หาอะไรทำไปวันๆ ...กิเลสมันจะหัวเราะเยาะเอา

จากนุ่นที่ไม่ติดเม็ด...ก็ให้มันมีติดเม็ดซะหน่อย ...นี่ ต้องทำ  มันก็จะมั่นคงขึ้น เออ เท่ากับนุ่นมีเม็ด (หัวเราะ) ...อ่ะ ก็ยังดีกว่าไอ้นุ่นที่ไม่มีเม็ดล่ะวะ 

นี่อย่าประมาทนะ...ว่าเล็กน้อย ...อย่าประมาทของเล็กน้อยนะ อย่าประมาทขณิกะหนึ่งนะ อย่าประมาทว่าทำทีละนิดๆ นี่นะ ...เดี๋ยวจากนุ่นมีเม็ด มันก็จะเป็นนุ่นในฝัก 

เออ ถ้าเป็นนุ่นในฝักนี่ เขวี้ยงหัวคนก็แตกได้โว้ย ...กิเลสกลัวแล้วนะ กิเลสเริ่มรู้สึกว่ากูถูกทำร้ายได้แล้วนะ ...แต่ถ้าเอานุ่นเปล่าๆ ไปปา มันคงไม่รู้สึกอะไรหรอก

เห็นมั้ย มันเป็นกอบเป็นกำขึ้นในศีลสมาธิปัญญา ...เริ่มเห็นผลแล้วนะ กิเลสเริ่มสะดุ้งแล้วนะ เริ่มหวาดระแวงแล้วนะ เริ่มมีความไม่มั่นคง ไม่มั่นใจในตัวของมันเองแล้วนะ

นั่น จากฝักนุ่นเดี๋ยวจะกลายเป็นก้อนอิฐ ...นี่ ความแข็งแกร่งของการพากเพียร การปฏิบัติ มันจะมั่นคงขึ้นอย่างนี้ ...มันต้องวัดตัวเองได้ ตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอ

เอ้า ถ้าสมาธิเท่านุ่น แล้วทำยังไงถึงจะมีเม็ดนุ่นติด ก็ต้องทำศีลให้มากสิ ...ก็ต้องรู้ในทีของตัวเอง เข้าใจในองค์มรรคว่า ที่มาที่ไปของศีลคืออะไร ที่มาที่ไปของสมาธิคืออะไร ที่มาที่ไปของปัญญาคืออะไร 

ถ้าไม่รู้ที่มาของสติ ถ้าไม่รู้ที่มาของศีล ก็ไม่รู้ที่มาของสมาธิ ...ถ้าไม่รู้ที่มาของสมาธิ ก็จะไม่รู้ที่มาของปัญญา ...แล้วก็นอกจากรู้ที่มา...แล้วยังรู้ที่ไปอีกต่างหากด้วย 

มันไปได้ยังไง มันหายไปได้ยังไง มันหมดไปได้ยังไง มันสิ้นไปได้ยังไง มันเสื่อมทรามลงไปได้ยังไง ...ก็ต้องรู้  เพราะคอยตรวจสอบ ทบทวนตัวเองอยู่เสมอ...ในศีลสมาธิปัญญา 

ไม่ใช่ไปนั่งทบทวนว่า กูดีกว่าคนอื่นนะ กูดีกว่าคนอื่นรึยัง กูถูกกว่าคนอื่นรึเปล่า...ไม่ใช่ ...ต้องทบทวนศีลสมาธิปัญญาในตัวเองว่า ที่มาที่ไปของมันยังไง 

เมื่อเห็นว่ามันน้อยลง มันด้อยลง ก็ต้องเพิ่มขึ้น ขวนขวายมากขึ้น ...ถ้าสมาธิไม่ค่อยตั้งมั่น เอ้า มันก็ต้องทวนไปถึงว่า...เพราะว่าสติ เพราะว่าศีลเราอ่อนด้อย 

นี่เพราะเราออกนอกกายบ่อย เพราะเราทิ้งกายบ่อย เพราะเราเผลอเพลินบ่อย ...เอ้า เห็นอย่างนี้ แล้วก็แก้ที่จุดไหนล่ะ ...ไม่ใช่ไปแก้บนพระธาตุมั้ง มันก็แก้ผิดจุดน่ะ 

“สงสัยจิตหนูไม่ตั้งมั่นเพราะว่ากรรมเก่าในอดีต เดี๋ยวต้องไปสะเดาะเคราะห์ซะหน่อย” ...อย่างนี้แก้ไม่ถูก นี่เขาเรียกว่าไม่มีปัญญา คือไม่รู้ที่มาที่ไปของศีลสมาธิปัญญา ว่าที่มาของมันคืออะไรจริงๆ

เพราะนั้นที่พูดก็บอกให้เห็นว่า...เออ มึงจิตไม่ตั้งมั่น ทบทวนดูแล้ว จิตมันอ่อนปวกเปียกๆ เปาะแปะ เหยาะแหยะ ยอบแยบ อะไรมาเหมือนขี้โคลน เละเทะไปหมดน่ะ ...นั่นแหละ ใช่เลย ไม่ตั้งมั่น

ในสติปัฏฐานท่านก็บอกอยู่แล้วว่า จิตตานุสติปัฏฐาน จิตตั้งมั่น..รู้ จิตไม่ตั้งมั่น..รู้ จิตตั้งมั่นมาก..รู้ จิตตั้งมั่นไม่มาก..รู้  เนี่ย รู้ ...และเมื่อรู้แล้วทำยังไงเล่า

จะให้มันเป็นอย่างงั้นตามอัธยาศัยเหรอ...ตามอัธยาศัยเรา ตามอัธยาศัยกิเลส ตามความเป็นไปของมันเหรอ ...นี่ มันจะเจริญงอกงามในศีลสมาธิปัญญาได้อย่างไร 

แต่เมื่อรู้แล้วว่ามันอ่อนยวบยาบยอบแยบ เจออะไรก็ไหล เจออะไรก็ลืม กระทบอะไรก็เผลอก็เพลิน กระทบอะไรก็คิดนู่นคิดนี่ คิดเล็กคิดน้อย กระทบอะไรก็เกิดอารมณ์ ...นั่นแหละจิตไม่ตั้งมั่น อย่างยิ่ง 

แล้วจะไปนอนตายอยู่กับมันรึไง แล้วจะไปยอมมีชีวิตอยู่กับกิเลสมันรึไง ...ก็ต้องรีบเร่งขวนขวาย ก็รู้แล้วว่าที่มาของจิตที่มันเป็นอย่างนี้เพราะอะไร ...เพราะศีลขาด ทะลุ บกพร่อง ด่างพร้อย ไม่ต่อเนื่อง

รู้แล้วทำไงล่ะ หือ หรือว่าแค่รู้...รู้แล้วก็บูชาว่า เออ กูรู้ถูกแล้ว เนี่ย ไม่ต้องทำอะไร...ไม่ใช่น่ะ ...รู้แล้วก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำก็จะถูกด่า...นี่ พระสงฆ์ก็ยื่นมือมาช่วยน่ะ 

เพราะมันไม่ค่อยช่วยเหลือตัวเองไง ...แล้วมันอยู่ไกลไง แปดสิบ...แปดร้อยกิโลนี่ ด่าให้ไม่ได้ทุกวัน มันก็ต้องช่วยเหลือตัวเองกันแล้วสิ ...ก็นานๆ มาให้ถูกด่าครั้ง

นี่โดนช่วยเหลือไปแล้ว ได้รับการช่วยเหลือไปแล้ว ...แล้วไงล่ะ เดี๋ยวก็ต้องกลับบ้าน มากินนอนอยู่กับเราได้ยังไง ใช่มั้ย  ต่างคนต่างก็ต้องจาริกไปตามวิถีแห่งการดำรงชีวิต 

มันต้องมีการจาริกไปอยู่แล้ว ชีวิตคือการจาริกไป ...แต่จะจาริกไปในโลก จะจาริกไปในกิเลส หรือจะจาริกไปตามเส้นทางธรรม ...เลือกเอาเอง อันนี้เป็นทางใครทางมัน 

ได้รับการช่วยเหลือไปแล้ว ก็ต้องรีบไปขวนขวายในสติ สัมมาสติ  เพราะตัวสัมมาสตินี้แล จึงเป็นตัวธรรมที่ว่า...เป็นธรรมที่ไปพยุงศีล ให้เกิดความงอกงามในองค์ศีล ให้เกิดความเติบกล้าเติบใหญ่ในองค์ศีล คือความรู้ตัว

ก็รีบเร่งทำความรู้ตัว ให้มาก ให้นาน ให้ต่อเนื่อง ให้ไม่ขาดสาย ...ถ้ายังไม่มั่นใจ ก็ลองทบทวนดูอีก...เมื่อทำอย่างนี้แล้วนี่ สังเกตดูจิตตั้งมั่นซิ มันตั้งมั่นขึ้นกว่าเดิมมั้ย หรือมันไม่ตั้งมั่นขึ้นกว่าเดิม

มันก็จะสังเกตได้ด้วยตัวเองว่า...เออ เมื่อไหร่ที่เรามาเคร่งครัดต่อการรู้เนื้อรู้ตัวนี่  มันรู้สึกว่าจิตใจนี่มันหนักแน่นมั่นคงน่ะ ...เห็นมั้ย มันก็มาตอบโจทย์ซ้ำให้น่ะ

ไอ้ที่สงสัยว่า สมาธิจะมายังไง ที่มาของมัน แรกๆ ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่ นี่ฟังอาจารย์พูดช่วยเหลือมาเท่านั้นนะ ...พอไปทำแล้วเห็นเอง...เออ มันก็มั่นใจในตัวของมันเองขึ้นมาแล้ว

แล้วก็คอยสังเกตไปว่ามันเสื่อมทรามลงเพราะอะไร ...คุยมาก คลุกคลีมาก ไปข้องแวะเกาะเกี่ยวกับบุคคล เรื่องราว เหตุการณ์ภายนอกมาก ไปมุ่งมั่นในหน้าที่การงานมาก 

ไม่ก็ไปเล่นเน็ท ไปเข้าไลน์ เข้าเฟส เข้าอินสตาแกรมมาก ไปเล่นเกม ไปดูหนังฟังเพลง ...เออ เวลาไปทำอย่างนั้น รู้สึกว่าจิตที่มันตั้งมั่นนี่มันจะเสื่อมถอยลงน่ะ 

นี่ยังไม่ได้พูดถึงปัญญาเป็นกอบเป็นกำนะ ...คือแค่ศีลที่ให้เกิดสมาธินี่ กูยังเอาตัวไม่รอดแล้ว...ปัญญาที่มันจะมีเป็นกอบเป็นกำน่ะ ไม่ต้องพูดถึงเลย 

เพราะนั้น ความรู้ความเห็น...ที่ตรง ที่ใช่ ที่ยอมรับต่อความเป็นจริงว่ากายนี้ไม่ใช่เรา มันก็ไม่ค่อยปรากฏหรอก หรือแทบจะไม่ปรากฏเลย ...ว่างั้นเถอะ

ก็อาศัยว่า...ยังมีเสียงของครูบาอาจารย์ผู้ช่วยเหลือนี่ คอยมากำกับอยู่เท่านั้นแหละ ...แต่มันยังไม่เชื่อจริงๆ เพราะว่ายังเอาศีล-สมาธิ...ยังไม่รอดเลย

มันก็ต้องไปเร่งรัดอยู่ในส่วนที่เรียกว่า สติ-ศีล-สมาธิๆ เนี่ย ให้มาก ให้ต่อเนื่อง ...ไม่ต้องไปหวังผลที่ได้จากปัญญา คือความรู้แจ้งเห็นจริงแล้วละวางจางคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นในเรา

นี่ ยังไม่ต้องไปหมายถึงผลนั้น การคาดนั้น ...ยังไม่ถึงหรอก สติยังกระพร่องกระแพร่ง ศีลยังกระพร่องกระแพร่ง สมาธิยังกระดักกระเดิดอยู่อย่างเนี้ย ริอ่านจะกินห่านฟ้ามังกรทอง

คงกินไม่ได้หรอก กินได้แต่ขนมจีนน้ำยาไม่มีเส้นไปก่อน พอให้ไม่หิวโหย ...เห็นมั้ย ศีลสมาธิปัญญาที่พวกเรากำลังทำอยู่ตอนนี้นี่ มันพอไม่ให้เกิดความหิวโหยเท่านั้นเอง ...แค่กันตายน่ะ


(ต่อแทร็ก 15/27)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น