วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

แทร็ก 15/17 (2)


พระอาจารย์
15/17 (570615C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 มิถุนายน 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 15/17  ช่วง 1

โยม –  แต่บางคนที่รู้ได้มีไหมคะ หมายถึงว่าคนที่ละเอียดพอ

พระอาจารย์ –  ไม่มีอ่ะ ส่วนมากที่รู้น่ะจะมีคนบอก ...คือว่าจริงๆ น่ะ มันจะไม่สนใจที่จะรู้เลย จะไปสนใจตอนเดียวว่า มันจะหมดราคะ หมดปฏิฆะรึยัง


โยม –  มันจะชัด

พระอาจารย์ –  ตรงนั้นน่ะ มันชัดเลย...ความเป็นกายนี่หมดสิ้นเลย ความเป็นกายพร้อมกับรูปกายนี่หมดสิ้นเลย


โยม –  เพราะฉะนั้นไม่ต้องตั้งเป้าไว้โสดากับสกิทาคา

พระอาจารย์ –  บอกให้ว่า...เด็กอนุบาล


โยม –  ตั้งเป้าไว้ที่อนาคา

พระอาจารย์ –  อือ ถ้าไม่ได้อนาคานี่....อย่าเลิก อย่าหยุด  เพราะว่าถ้าเข้าถึงอนาคาแล้วไม่มีสิทธิ์หยุด ไม่มีสิทธิ์เลิก มันเป็นบทบัญญัติ มันเป็นบทตายตัวเลย

แต่ถ้าเข้าไม่ถึงนี่ หมายความว่ายังบังเกิดความเอ้อระเหยลอยชายได้ เสขิยะ ไม่ใช่อเสขิยะ เสขิยบุคคล ...ต้องเข้าให้ถึง เรียกว่าโลกุตตรธรรมโดยสมบูรณ์ โลกุตตรจิต

เพราะนั้นในระดับที่โสดา สกิทาคานี่ ยังไม่จัดอยู่ในโลกุตตรจิตโดยสมบูรณ์  มันยังมีเปอร์เซ็นต์แอบอิงอยู่ในโลกอีกเยอะเลย ความข้องแวะในพ่อแม่ผัวเมียลูกเต้า...มี ไม่ได้จางคลายเลย บอกให้


โยม –  แล้วปัญญาวิมุติระดับของโสดาบันกับสกิทาคามี เข้าผละสมาบัติได้ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ไม่ได้


โยม –  ถ้าไม่ได้ฌานมาใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ไม่ได้ ถ้าไม่ได้สมาบัติ ๘

เพราะนั้นในระดับของปัญญาวิมุตินี่ จะไม่รู้อะไรเลย บอกให้เลย  เพราะมันละลูกเดียว ...จิตคิดนึก ปึ้บ...ละ จิตคิด จิตเคลื่อน ปึ้บ...ละ ...ไม่สนเลย ไม่แปลความหมายเลย 

จะไม่ออกมาแปลความหมายอะไรเลย จะไม่ไปหมายในที่ใดที่หนึ่ง ...พอจิตมันหมายปุ๊บ เห็นทันปั๊บ...ละเลย  ยังไม่รู้เลย...กูละอะไร ก็ละไปแล้ว ...นี่ มันไวขนาดนั้นเลย

เพราะนั้น มันจะมาว่า “กู..กู..กู..เป็นอะไร” ยังไม่ทันถึงว่า “เป็นอะไร” แค่ "กู..กู"...ก็ละแล้วนี่ ปัญญาวิมุติ  คือไม่รู้อะไรเลย จะไม่อยากรู้อะไรเลย  แค่มันจะสะกิดให้ออกไปปุ๊บนี่...ละเลย


โยม –  แบบนี้ถ้าปฏิบัติเข้มข้นไป ก็คืออยู่กับโลกยากแล้ว มันละเร็วตัดเร็ว

พระอาจารย์ –  คือมันอยู่กับโลกไม่ได้เลยน่ะ ในเบื้องต้นนะ ในขั้นตอนที่ยังเดินในมรรคอย่างเข้มข้นนะ มันจะอยู่กับโลกไม่ได้


โยม –  อ๋อ มันเป็นช่วง

พระอาจารย์ –  อือ มันจะเป็นช่วงนึง มันไม่ได้ตลอดชีวิตหรอก แต่ตลอดในช่วงที่มรรคยังไม่สมบูรณ์เท่านั้นเอง พอมันจะยิ่งเข้มข้นในมรรคให้ได้ มันคุยกับคนไม่รู้เรื่องแล้ว

ฟังก็ไม่รู้เรื่อง อย่าว่าแต่คุยเลยนะ ฟังไปงั้นๆ น่ะ ...คือจิตจะไม่แปลความเลย มันจะง่วนอยู่กับศีลสมาธิตัวเดียว ...กายกูกำลังนั่ง กูกำลังทำอะไร กูไม่สนหรอกว่ามึงจะพูดจะด่าใคร ไม่สน ...กายใจกูอยู่ตรงนี้


โยม –  นั่นหมายถึงตอนเดินจิตอยู่เฉยๆ ใช่มั้ยคะ แต่จริงๆ พระโสดาบันท่านก็ไม่ได้เดินจิตตลอด

พระอาจารย์ –  ใช่ บอกแล้ว โสดาบันก็คือพวกเดินตลาดนั่นแหละ

โสดาบันกับปุถุชนเดินคู่กันมาตามถนนนี่ เอาก้อนหินเขวี้ยงหัวมันทั้งสองคน โสดาบันนี่หันมาด่าก่อนเลย ...เพราะสติไวมาก รู้ทันหันขวับด่าเลย...ไว  ปุถุชนยังไม่ค่อยรู้ก็...เฮ้ย อะไรวะ

เห็นมั้ย โกรธมี หลงยังมี ...แต่รู้ แล้วก็ไม่ผูกพันมั่นหมายมาก ...คือด่าไว้ก่อน นี่นิสัย ...แต่ไม่คิดมาก ตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน ไม่จำมาก จำแค่แป๊บแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป 

นี่จะเป็นอย่างนี้ก่อน ...แต่กิเลสเท่าเดิมนะ เข้าใจมั้ย  กิเลสยังมี อารมณ์ยังมี...เท่าเก่าน่ะ ไม่ได้ว่าน้อยลงหรืออะไรลง ...แต่ว่ามันอยู่ได้ไม่นานเท่าเดิม

นี่เพราะมันยังละกิเลสอะไรไม่ได้ เพราะมันยังละความเป็นตัวเราของเราโดยสมบูรณ์ไม่ได้เลย ยังละความหมายมั่นในกายเราไม่ได้เลย


โยม –  พระอนาคามี...ปฏิฆะกับราคะ มันจะไปพร้อมกันใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  เป็นธรรมคู่กัน เวลามันดับก็ดับไปพร้อมกัน ... ถ้าไม่มีราคะ มันก็ไม่มีปฏิฆะ ถ้าไม่มีปฏิฆะ มันก็ต้องไม่มีราคะ ...เพราะว่าในระดับนั้นน่ะ จิตจะไม่เลือกแล้ว จิตจะไม่แบ่ง

นี่หมายความว่าแบ่งอะไร ...แบ่งรูป  ...ไอ้ราคะ-ปฏิฆะนี่ มันเกิดด้วยรูป ไม่ได้เกิดด้วยกายนะ  แต่ว่ารูปมันก็เนื่องด้วยกาย ไม่ได้ว่ารูปลอยๆ ขึ้นมาเฉยๆ ก็ไม่ได้นะ

นี่ มันสัมพันธ์กันอย่างนี้ ...แต่ว่าตัวกายจริงๆ ไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดราคะหรือปฏิฆะเลย  แต่ว่าตัวที่เป็นเหตุให้เกิดราคะปฏิฆะจริงๆ คือรูป

แต่ว่ารูปมันจะมีได้ก็ต้องมีกาย ไม่มีกายก็ไม่มีรูป มันเนื่องกันอย่างนี้ ...แต่ว่าการจะไปลบล้างราคะและปฏิฆะ ต้องไปแจ้งในกายและรูปพร้อมกัน เข้าใจรึเปล่า

เพราะนั้นให้สังเกตดู เวลาเรามีอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นราคะ หรือปฏิฆะ ...ถ้าโดยที่พวกเราเคยได้ยินครูบาอาจารย์มานี่ ท่านบอกว่าเวลามีราคะ อย่างนึกถึงผู้หญิง นี่ ท่านบอกให้พิจารณาอสุภะใช่มั้ย

แต่ถ้าในลักษณะของปัญญาวิมุตินี่...ไม่ต้องไปใช้ความคิดนะ  ให้น้อมหยั่งลงที่ความรู้สึกของกาย ความรู้สึกภายในกาย ตึง แน่น ไหว กระเพื่อม ...หยั่งตรงนี้ หยั่งในท่ามกลางราคะท่ามกลางปฏิฆะนี่

แล้วให้สังเกตดู ...ราคะจะไม่กำเริบขึ้น ปฏิฆะก็จะไม่กำเริบขึ้น ...เพราะอะไร ...เพราะมันจะไม่มีรูป มันจะไม่มีรูปสัญญา ไม่มีรูปอนาคต และจะไม่มีรูปปัจจุบัน  หรือจะมี ก็จะมีในฐานะที่ลางๆ


โยม –  โยมสงสัยตรงนี้ค่ะ  คือถ้าดูกายเรื่อยๆ ที่มันแตกๆๆ นี่  ถ้ามันไม่มารวมเป็นรูป คือแค่นี้ ดูแค่นี้ไปเรื่อยๆ ราคะมันก็จะหายไป

พระอาจารย์ –  หมดไป เข้าใจมั้ยว่ามันจะหมดไป เพราะว่ากายจริงๆ ไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดราคะเลย ...และให้เห็นว่าราคะมันมาจากไหน ให้ไปทำความแจ้งว่าราคะมันมาจากรูป

แล้วรูปมันมาจากไหน มันมาจากจิต...จิตที่มันออกจากสมาธิ จิตที่มันออกจากผู้รู้ แล้วมันไปสัญญารูปขึ้นมา ไปนิมิตรูปขึ้นมา แล้วมันก็นิมิตรูปขึ้นมาครอบ อิงกาย อิงความรู้สึกของกายอยู่ ครอบงำกายอยู่

จับประเด็นนี้ สังเกตสิ ทบทวนตรงนี้ แล้วก็อยู่กับกาย ไม่อยู่กับรูป ไม่ให้จิตมันมาสร้างรูป เท่าทันรูป ...นี่ละ คือว่าเมื่อเท่าทันรูปบ่อยๆ จิตมันจะเป็นสมาธิอย่างแข็งแรงขึ้นบ่อยๆ มั่นคงขึ้น

พอมั่นคงขึ้นปุ๊บ มันก็จะปรากฏระหว่างกายกับใจนี่ชัดขึ้นเท่านั้น ความชัดในอารมณ์ก็มากขึ้นเท่านั้น ว่าไม่มีอารมณ์เกิดขึ้นท่ามกลางกายและใจนี้ได้เลย

จนกว่ามันจะลบล้างความยึดมั่นถือมั่นในรูป...ที่ว่ามีอยู่จริง ว่าเที่ยง ว่าจับต้องได้ ว่ามีตัวมีตนจริงๆ ...มันก็จะเห็นความเสื่อมสลายไปของรูปบ่อยๆ ความไม่มีตัวตนของรูป มันเป็นแค่มโนภาพ เป็นนิมิตสัญญาเท่านั้น


โยม –  แต่มันจะยังเห็นรูปอยู่ เพียงแต่ว่ามันจะไม่ไปหมายรูป

พระอาจารย์ –  ไม่ไปจริงจังมั่นหมายมาก ...ในฐานะที่เรายังข้องแวะกับผู้คนนะ มันจะมีรูปบางๆ อยู่ตลอดเวลา ราคะ-ปฏิฆะก็ยังอยู่ตลอดเวลา


โยม –  ถ้าไม่ต้องมีรูปเลย มันก็คิดแล้วคุยกับใครไม่ได้

พระอาจารย์ –  ก็บอกแล้วไง เนี่ย คือความเนิ่นช้า นี่คือความเนิ่นช้าที่เราต้องข้องแวะกับผู้คน หรือว่าคลุกคลี

แต่ถ้าเป็นโดยตรงแล้วนี่ หมายความว่ามันทิ้งรูปได้เลย มันละลายรูปทิ้งเลย คือมันไม่ใส่ใจในรูปเลย ปุ๊บ มันจะเหลือแต่กายใจล้วนๆ เลย


โยม –  แต่เวลาพระอริยะคุยกับคนนี่ ท่านก็ยังเห็นรูปอยู่ เพียงแต่ว่าท่านไม่มีกิเลส...

พระอาจารย์ –  อริยะขั้นไหนล่ะ ก็มีหลายขั้นนะ ...ต้องถามว่าอริยะขั้นไหน


โยม –  อย่างพระอรหันต์

พระอาจารย์ –  ถ้าพระอรหันต์นี่ ท่านไม่สนใจอะไรเลย ใช้บัญญัติใช้สมมุติตามสะดวก แต่จะไม่ติดข้องทั้งสองสิ่ง ...ไม่ติดข้องทั้งวิมุติและสมมุติ บอกให้เลย

แต่ถ้าต่ำกว่าอรหันต์ลงมา ไม่ติดข้องในสมมุติ ...แต่ติดข้องอยู่ในวิมุติ เข้าใจมั้ย 

ยังถือวิมุติเป็นหลักอยู่ ยังถือกายอันบริสุทธิ์อยู่ ยังถือศีลสมาธิปัญญาอยู่ เป็นที่ตั้งของจิตอยู่  ยังมีที่ประคับประคอง ศีลสมาธิปัญญาเป็นตัวประคับประคองใจอยู่ เข้าใจมั้ย

แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วปึ้บนี่ ทิ้งหมดเลย วิมุติก็ไม่ติด สมมุติก็ไม่ติด แต่ใช้มันทั้งคู่เลยน่ะ...ได้โดยที่ไม่มีข้อจำกัด หรือไม่มีขีด ไม่มีประมาณเลย

แต่ถ้าต่ำกว่านั้นปึ้บ ยังมีข้อจำกัด ยังทิ้งศีลสมาธิปัญญาไม่ได้...แม้แต่ขณะหนึ่ง

ซึ่งถ้าเป็นระดับพระอนาคาขึ้นไปแล้วนี่ ท่านไม่ยุ่งกับคนแล้ว ท่านจะไม่ยุ่งกับการสอน การพบ การเจอคนแล้ว ...ถ้าไปภาษานี้ก็เรียกว่าเข้าปลีกวิเวกทันทีน่ะ

เพื่ออะไร ...เพื่อทำให้มันลุล่วงโดยไม่เนิ่นช้า ...เพราะว่าอะไร ...เพราะไม่รู้จะตายเมื่อไหร่ ความตายนี่มาจ่อคอหอยเลย  มันเหมือนเห็นความตายนี่มาจ่อคอหอยเลย

แล้วมันกำลังกดทับๆ คอหอย บีบๆ กดๆๆ ลงไปอยู่อย่างนี้ ...นี่ อยู่ไม่ได้แล้วกู มาเสียเวลาพูด เสียเวลาคุยอยู่อย่างนี้ เสียเวลาแบ่งจิตแบ่งใจ แบ่งความสมมุตินี่ กูไม่ทันแล้ว มันจ่อกดๆๆ หายใจไม่ออกแล้ว 

นี่ มันเห็นอย่างนี้ เห็นความตายอยู่อย่างนั้นเลย ...ก็เลยต้องเร่งรัด ไม่ให้มันเนิ่นช้า ไม่ให้มันเสียเวลาจนความตายมาพรากขันธ์ไปก่อน ...แต่ถ้าต่ำกว่านั้นลงมา ความประมาทยังกลืนกินอยู่ เกิดความเนิ่นช้าได้อีก

ถ้าเป็นปุถุชนนี่ ไม่ต้องพูดถึง ...กูไม่กลัวตายอ่ะ แล้วไม่คิดว่าจะตายด้วยนะ  ไม่ใช่ไม่กลัวอย่างเดียว ไม่คิดเลยนะว่าจะตายวันนี้วันพรุ่ง ไม่เคยคิดเลย ไม่อยู่ในหัวเลยน่ะ บอกให้

แต่พอเป็นอริยะขึ้นมาเรื่อยๆ ปุ๊บ ความตายนี่มันเริ่มใกล้ตัว...เห็นจ่อหน้าเข้ามา เคลื่อนเข้ามาๆ อย่างนี้ จะมานั่งเดินยืนกิน เล่นๆ นอนๆ อยู่ยังไงวะ 

จะมาเผลอเพลินกับการเที่ยวการเล่น จะสนุกคุย สนุกไปนั่นมานี่อยู่ได้ยังไง ...นี่ มันเห็นเลยว่าไอ้นี่มันดึงเวลาขันธ์ ดึงเวลาศีลสมาธิปัญญาไปมากมายมหาศาลเลย ...มันเห็นความตายจ่อเข้ามาใกล้ๆๆ

แต่ถ้าปุถุชนน่ะ อยู่นู่น ลิบสุดขอบจักรวาลน่ะ ความตายไม่ค่อยนึก  ยังไม่ตายตอนนี้หรอก อีกหลายปี อีกนาน ไว้ภาวนาตอนใกล้ๆ นั้นก็ได้ ...มันว่าอย่างนั้นกันไป

เพราะนั้นการภาวนาจะต้องงวดขึ้น เข้มข้นขึ้น อะไรที่ยังปล่อยปละละเลยให้มัน คุ้นเคยอยู่กับกิเลส คุ้นเคยด้วยกิเลส ...มาร์คไว้ๆ จะเอาออกให้ได้ ออกจากมันให้ได้

คือต้องมาร์คก่อน ต้องมาร์คต้องหมายให้ได้ เนี่ยๆ อย่างนี้ๆ อารมณ์อย่างเนี้ย ความคุ้นเคยอย่างเนี้ย ...มาร์คไว้ กาหัวไว้ก่อน ...แล้วค่อยเช็คบิล เลิกละ ถอดถอน ถดถอยลงมา ออกจากมัน

ลำพังจิตนี่ ที่มันหมาย ที่มันคุ้นเคยนี่ เหมือนกับหนวดปลาหมึก  เคยเห็นหนวดปลาหมึกมั้ย ยั้วเยี้ยๆ ไปหมด ยิ่งกว่าหนวดปลาหมึกอีกนะ ...ถ้าไม่มาร์คไม่หมายแล้วตัดไปทีละเส้นๆๆ นี่ ไม่มีวันหมด

ถ้าไม่ตั้งใจละตั้งใจเลิกกับมัน ไม่มีทางหรอกที่มันจะเลิกเอง ...มันจะไปเลิกตอนที่นั่นน่ะ ความตายมาจ่อคอหอย ใกล้ตายแล้วนี่ มันถึงจะรู้ว่าเป็นทุกข์

แต่โดยลำพังตัวมันเอง มันจะไม่ละด้วยตัวของมันเองได้เลย ...เนี่ย คือกิเลสความตายใจ ความหลง ความมัวเมา...ความมัวเมาในกิเลส

มันพาให้ไปสมัครสมานสามัคคี เกลือกกลั้วอยู่ในกองอารมณ์ กองความสุข กองสบายใจ ...ตายใจอยู่อย่างนั้น ประมาทอยู่อย่างนั้น

ก็ต้องมาร์คหมายไว้เพื่อละออกไป...ไม่ได้ก็ต้องได้  ไม่ได้วันนี้ พรุ่งนี้ต้องได้ ...ต้องหมาย ต้องมีสัจจะที่ให้มันลดๆ ถอนออก แล้วมารวมรู้รวมเห็นให้มันแข็งแกร่งมั่นคงขึ้น

รวมกายรวมจิตให้มันเป็นหนึ่งขึ้น แล้วก็อยู่...รวมแล้วอยู่กับมันให้ได้ โดยไม่ปริปากบ่น โดยไม่มีข้อแม้ โดยไม่มีช่องว่าง ช่องที่ปล่อยโอกาส...เปิดโอกาสให้มัน

อย่าเสียดาย อย่าเสียดายอารมณ์ในโลก อย่าเสียดายความคุ้นเคยในโลก อย่าเสียดายความคุ้นเคยในกิจวัตรประจำวันของเรา ...พวกนี้มันเป็นตัวดึงรั้งไว้หมดเลย มันดึงรั้งไว้หมดเลย

ก็ต้องเปลี่ยนด้วยการละ การถอน ...จนมันอยู่ได้ด้วยความเป็นอิสระ โดยไม่พึ่งอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง หรือการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง

หยุดหมดเลย ...เหลือแต่กายใจที่มันดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ ดำรงรู้อยู่ด้วยความเป็นเอกภาพ เป็นเอกจิต เอกธรรมอยู่อย่างนั้น ...เป็นหนึ่ง ธรรมหนึ่ง

เป็นธรรมที่เรียกว่า เอโกธัมโม เอกังจิตตัง อยู่อย่างนั้น ...แล้วอยู่ได้ด้วยความไม่หวั่นไหว อยู่ได้ด้วยความไม่มีอารมณ์มาปรากฏแผ้วพานอยู่ตรงนั้น

นั่นแหละ ให้มันได้ถึงอย่างนั้น ก็จะค่อยๆ วางใจได้  ...ถ้ามันได้ถึงจุดนั้นน่ะ มันจะเข้าสู่ภาวะที่วางใจได้...คือมันจะเป็นอัตโนมัติ มันจะเป็นออโต้ (Auto) ไม่ใช่แมนน่วล (manual) แล้ว

แมนน่วลนี่คือเรา ยังมีเราอยู่...ต้องแมนน่วล ...แต่พอถึงจุดนั้น ความเป็นเราเริ่มไม่มีแล้ว จะเป็นออโต้ ศีลสมาธิปัญญามันอยู่ตัว ...เรียกว่าอยู่ตัวพอดี

นี่ มันทำงานเอง ควบคุมกายใจเอง ควบคุมกิเลสภายในภายนอกเอง มันอยู่ตัวแล้ว


โยม –  นั่นคืออนาคามี

พระอาจารย์ –  ใกล้แล้ว


(ต่อแทร็ก 15/18)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น