วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 15/18 (2)


พระอาจารย์
15/18 (570615D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 มิถุนายน 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 15/18  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  นี่จึงเรียกว่าเป็นเหตุที่ว่า...ต้องมามีศีลเป็นหลักเป็นฐาน  ...ถ้าไม่มีศีลเป็นหลัก สมาธิจะไม่ได้หลัก จิตจะไม่ได้หลักเลย จิตจะไม่สามารถตั้งรวมรู้เห็นเป็นดวงจิตผู้รู้ที่มั่นคงได้เลย

ถ้าจิตเป็นผู้รู้ที่มั่นคงไม่ได้ มันจะไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริงอย่างชัดเจนเลย ...ญาณจะไม่บังเกิด  มันก็จะไปเกิดปัญญาแบบคิดนึกขึ้นมามากกว่า

แต่ถ้ามันตั้งรู้ได้ปั๊บนี่ หมายความว่าจิตมันไม่คิด...ไม่สามารถคิด  มันจึงมีแต่เห็น...เห็นเงียบๆ เห็นอย่างเงียบๆ ...คือมันไม่คิด เพราะมันคิดไม่ออก คิดไม่ได้

แต่มันเห็นสภาพที่อยู่เบื้องหน้าใจ เบื้องหน้ารู้นี่ โดยที่ไม่มีความคิด ไม่มีคำพูดภาษามาสอด มาแทรกซึม มาเปรียบเทียบ มาทำความกระจ่างด้วยภาษาอะไรเลย ...มันจะเห็นแบบตรงๆ


ผู้ถาม –  ถ้าเรารู้กลับมาที่กายนี่ ถ้าเราไม่ทันจริงๆ มันจะกลายเป็นเพ่งกายรึเปล่า

พระอาจารย์ –  เพ่งเข้าไปเหอะ เพ่งเข้าไป กดคอให้มัน...ต้องการให้เพ่ง ...ถ้าไม่เพ่งไม่อยู่นะ ถ้าไม่เพ่งไม่เกิดปัญญานะ ถ้าไม่รวมรู้รวมเห็นเป็นหนึ่งเดียวกันนะ ...ไม่มีทางเลยนะ


โยม –  เพ่งไปเลยหรือครับ

พระอาจารย์ –  เพ่งไปเหอะ ติดไปเหอะ ขอให้เพ่งกาย ขอให้ติดกายเหอะ ...อย่าไปเพ่งกายคนอื่นแล้วกัน เดี๋ยวมีด่ากันชกกัน เห็นมั้ย ถ้าเพ่งกายอื่นนี่มีปัญหานะ

แต่ถ้าเพ่งกายตัวเอง ก็เออ...เครียด อึดอัด...ช่างหัวมันเถอะ ...แล้วปัญหาพวกนี้มันจะค่อยๆ หมดไปเอง แต่มันจะเกิดความรู้ขึ้นมาใหม่ทดแทน

แต่ถ้าไปเพ่งที่อื่นนะ...เกิดอารมณ์ ...ผู้ชายเพ่งผู้หญิง ผู้หญิงเพ่งผู้ชายนี่...เกิดอารมณ์  เพ่งคนที่เกลียด...เกิดอารมณ์  เพ่งคนที่ชอบ...ก็เกิดอารมณ์  เพ่งไปในวัตถุข้าวของ...เกิดอารมณ์หมด

ถ้าเพ่งนอกออก เขาเรียกว่า...มมังโส เพ่งออก ...ถ้าเพ่งใน เรียกว่า...โยนิโส  ด้วยอาตาปี นี่ จะเกิดความโยนิโสหรือโอปนยิโก ...คือมันน้อมกลับแล้วมันจะเกิดความแยบคายขึ้นมาเป็นปัญญา


ผู้ถาม –  รู้ตรงไหนก็เพ่งไปตรงนั้นเลย

พระอาจารย์ –  ตรงนั้นเลย ความรู้สึกตรงไหนชัดก็เพ่งตรงนั้น


โยม –  พระอาจารย์เคยบอกว่า ให้สังเกตว่าถ้าเพ่งนี่ มันจะเป็นหนึ่งกับสิ่งที่ไปเพ่ง  แต่ถ้าเราเห็นว่ามันยังมีตัวรู้อยู่ก็ไม่เพ่งแล้ว เพราะนั้นต้องสังเกตความต่างตรงนี้

พระอาจารย์ –  อือ นั่นแหละ ให้มันแยบคายในการเพ่งเองน่ะ มันจะแยบคาย  ถ้าเพ่ง...ที่จริงน่ะที่มันรู้สึกว่าเพ่งมากนี่เพราะ “เรา” นะ...ไม่ใช่เพราะ “รู้” นะ  เพราะยังมีเราเข้าไปหา เข้าไปดู


โยม –  ค่อยๆ แยกความต่างตรงนี้ออก

พระอาจารย์ –  แล้วมันจะค่อยๆ แยกระหว่าง...เมื่อใดที่มันเห็นกายกับรู้ นั่นแหละ เมื่อนั้นแหละความเพ่งจะน้อยลง ความเป็นเราเพ่งก็น้อยลง


โยม –  และต้องไม่ไปพยายามจะเอาที่ใดที่หนึ่งด้วยนะคะ หมายถึงว่าที่ไหนก็ได้ที่รู้สึก แล้วมันก็จะเพ่งไม่ได้แล้ว เพราะมันจะเปลี่ยน

พระอาจารย์ –  การรู้กายนี่ เหมือนเราถือไก่อยู่ในกำมือน่ะ...อย่าบีบและก็อย่าปล่อย เข้าใจมั้ย ...คือพอให้มันไม่หลุดจากมือน่ะ ...แต่บีบมากไก่ตายเลย


ผู้ถาม –  ทื่ออยู่อย่างนั้นเลย

พระอาจารย์ –  เออ มันจะไม่ได้อะไรเลย ...ถ้าคลายหน่อย ไก่ก็ดิ้นนะ ก็หันซ้ายหันขวานะ แต่ว่าไม่หลุดจากมือนะ ...เนี่ย การรู้กายนี่ รู้อย่างลักษณะนี้


ผู้ถาม –  รู้แตะๆ ไว้

พระอาจารย์ –  เออ ประคับประคองอยู่อย่างนี้ก่อน ...จนมันคล่อง จนมันชำนาญ


ผู้ถาม –  พระอาจารย์บอกว่าเพ่งตรงนี้ไว้ก่อนก็คือประคอง

พระอาจารย์ –  ใช่ๆ ประคองหรือว่ากำไว้ก่อน ...เดี๋ยวมันจะรู้จักเองนะ ค่อยๆ รู้จัก...อ้อ นี่กาย 

ที่มันเพ่งเพราะอะไร ...เพราะเราเข้าไปต้องการ เข้าไปอยาก เข้าไปอะไรพวกนี้  มันจึงเกิดลักษณะเพ่งเกินไป ...เพราะมีอำนาจของเราเป็นผู้กระทำ มีเจตนาของเรา


ผู้ถาม –  นี่มันแป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ไปอีกแล้ว ...ก็กลับมาที่กาย

พระอาจารย์ –  อือฮึ กลับใหม่ กลับบ่อยๆ กลับบ่อยๆ...พันครั้ง หมื่นครั้ง ล้านครั้ง กลับเข้ามาเหอะ ...มันไม่เสียหายอะไร เหนื่อยก็ไม่เหนื่อย ลงทุนก็ไม่ลงทุน เสียเงินก็ไม่เสียเงิน ใช่ป่าว

แล้วทำเองเนี่ย มีใครรู้มีใครเห็นมั้ย มีใครเขามาเดือดร้อนมั้ยกับการที่มาน้อมกลับบ่อยๆ น้อมกลับบ่อยๆ นี่...ก็ไม่มี  ผัวเมียก็ไม่ทะเลาะกัน เพราะมันน้อมกลับบ่อยๆ อะไรอย่างนี้

แต่เสียอย่างเดียว...กูขี้เกียจ แค่นั้นเอง ...ความขี้เกียจ เห็นมั้ย ตัวขี้เกียจมันเป็นตัวที่ไม่ยอม  มันชอบสบาย ชอบปล่อยให้จิตมัน...มมังโสน่ะ ล่องลอยออกไป ส่งออกนอก


โยม –  งานที่ใช้ความคิดหรือวางแผนนี่ มันมีข้อเสียตรงที่ว่า เวลามันหมดไปกับเวลางานน่ะนะคะ  พออยู่กับตัวเอง ก็เอาแล้ว...มันจะขึ้นมา อย่างนี้ต้องมีอธิษฐานบารมีมั้ย

พระอาจารย์ –  สัญญามันขึ้นมา อือ มันก็ต้องเข้มงวดน่ะ ...ก็บอกแล้วไง ต้องตั้งใจให้มั่น ตั้งใจไว้


โยม –  ว่าเวลานี้จะทำการงานภายในแล้ว

พระอาจารย์ –  ตั้งความตั้งใจมากๆ แรงๆ


โยม –  โยมเห็นว่าถ้ามันกลับมาได้ คือจริงๆ แล้วภาวนาไปด้วย มันก็ยังมีความคิดออกมาได้  เพียงแต่ว่าถ้าเราไม่ทันมัน แล้วเราไปมีความอยากกับมันต่อ มันก็จะไปเรื่อยๆ 

แล้วพอถึงเวลาเราหยุดงาน มันก็ยังเห็นเป็นสัญญาต่อ  แต่ถ้าเราภาวนาไปด้วยแล้วมันคิดออกมาของมันเอง เราไม่ได้ไปตามมัน

พระอาจารย์ –  มันจะสังเกตได้เองน่ะ พอปฏิบัติไปเรื่อยๆ จะสังเกตได้เองว่า...ทำไมกูคิดทั้งวันเลย แล้วกูกลับมา กูไม่คิดต่อเลยวะ ...เพราะว่าอะไร 

อย่างที่บอก...ถ้ารู้ตัวกำกับไปเรื่อยๆ เข้าใจมั้ย มันเป็นตัวที่ไม่เข้าไปจริงจังในการกระทำความคิด ...แต่ถ้าทำแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ คิดเอาเป็นเอาตายเลย กลับมานี่ รับรองเลย นอนไม่หลับ


โยม –  คิดต่อ

พระอาจารย์ –  แล้วจะมานั่งสมาธิรวมจิตรวมใจก็รวมไม่อยู่ จะเป็นอย่างนั้น ...แต่ถ้าเรากำกับด้วยศีล-สมาธิ รู้ตัวๆ นิดนึงๆ ไปนี่ ...มันอาจจะยืดเยื้อตอนที่กลับมาอยู่คนเดียวแค่นิดๆ หน่อยๆ

แต่ว่าไม่รบกวนมาก เข้าใจมั้ย มันจะไม่รบกวนมาก สัญญาจะไม่รบกวนมาก อดีต-อนาคตในหน้าที่การงานจะไม่รบกวนมากสักเท่าไหร่ ...แล้วมันจะรวมจิตรวมใจได้ง่าย

แต่ก็อาจจะไม่เป๊ะ เข้าใจมั้ย จะไม่เป๊ะซะทีเดียว ...อาจจะเป๊ะได้แค่แป๊บนึง แล้วก็ยืดออกมาอีกแล้ว ...แต่เวลามันยืดออกมาแล้วอย่าไปดีใจ-เสียใจ 

อย่าไปโกรธแค้น อย่าไปตำหนิติเตียน อย่าไปหาถูกผิด เอาถูก-เอาผิด ...ก็แค่รู้เฉยๆ แล้วก็คอยน้อมคอยหยั่งกลับมา คอยน้อมคอยหยั่งกลับระหว่างสัญญากับกายๆ

อย่าไปตั้งหน้าตั้งตาตีๆๆ เข้าใจมั้ย นี่ ไปทะเลาะกับมัน เอาเราไปทะเลาะกับมัน “มึงมาทำไม กูกำลังจะทำตรงนี้ เนี่ย มาอีกแล้วๆ ...ก็คอยน้อมคอยหยั่งไว้ 

มันก็จะดึงให้เข้า เสร็จแล้วก็...เออะ ไม่เอาน่ะ กลับมา ...พอกลับมา ไอ้นี่ก็กรุ่นอยู่ ...ก็ไปอีกแล้ว มันยังไม่แล้วไม่เลิก ยังไม่ยอมแล้วยอมเลิกๆ ...ก็กลับมา ...นี่ มันรบกวนอย่างนี้ รบกวนอยู่

แต่ถ้าเราฝึกไปเรื่อยๆ ทำสมาธิ ทำศีลในชีวิตไปเรื่อยๆ  ไอ้พวกนี้จะบางเบา ไม่แข็งแรง ...แม้กระทั่งมันยังอยู่ไม่หายไปไหน ก็ไม่สามารถดึงให้ออกไปจมปลักกับมัน

ทั้งความคิด สัญญา อารมณ์ในสัญญา ความถูก-ความผิดในอดีต-อนาคต  ความน่าจะมี ความน่าจะเป็น  ความไม่น่าจะมี ความไม่น่าจะเป็น...ในอดีต-อนาคต 

มันไม่สามารถดึงให้ออกนอกศีลสมาธิปัญญาได้ ...แต่มันก็ล่องลอย...'มึงอย่าเผลอนะๆ' แค่นั้นเอง ...แต่มันไม่หายไปไหน


ผู้ถาม –  เท่ากับเราสะสม ถ้าว่าผู้รู้มันมีกำลังมากขึ้น

พระอาจารย์ –  ใช่ มันจะรู้ตัวได้มากขึ้น  แล้วพวกนี้ก็ถือว่าเป็นความเศร้าหมองที่วนอยู่ ...เป็นความขุ่น เป็นความเศร้าหมองวนเวียนอยู่ 

มันก็ไม่ได้เปิดใสกระจ่างหรอก แต่ว่ามันก็ไม่เข้าไปคลุกเคล้า เข้าใจมั้ย มันจะเห็นไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ค่อยๆ กระจ่าง แล้วจะเข้าใจตัวเอง เข้าใจระบบของกิเลส ระบบของจิต 

แล้วก็เข้าใจที่จะวางจิตอย่างไร ทำอย่างไรเพื่อขจัดปัดเป่าสิ่งต่างๆ ที่มันรบกวนจิตใจ รบกวนศีลสมาธิปัญญา จนดำรงศีลสมาธิปัญญาด้วยความบริสุทธิ์

อาจจะมีบางครั้ง หรือนานๆ ที ที่มันสามารถดำรงด้วยความบริสุทธิ์ได้นี่ ...ซึ่งถ้ามันเป็นลักษณะนั้นน่ะ มันจะไม่รู้หรอกว่ามีที่มาที่ไปยังไง เข้าใจมั้ย เหมือนฟลุ้ค...เอ๊ะ มายังไง ทำไมมันอยู่วะ แล้วจะทำยังไงให้มันอยู่อย่างนี้

ทำไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเข้าใจที่มาที่ไปเองว่า จะต้อง...หูย มันจะต้องตั้งแต่ตื่นนอน กูจะต้องทำอย่างนี้ ต้องวางจิตอย่างนี้ มันระดับนี้ มันถึงปึ้บวางปั๊บ เหมือนกับสตาฟไว้เลย


ผู้ถาม –  นี่คือรู้ที่มาที่ไปของมันชัดๆ

พระอาจารย์ –  มันจะรู้เองๆ ว่าเข้ายังไง แล้วมันดำรงศีลสมาธิปัญญาในตัวของมันได้อย่างไร 

สมมุติว่าวันไหนที่เราจะทำความเพียรทั้งวันทั้งคืน ไม่หลับไม่นอน...ในระหว่างวันนี่เราจะเดินสติอย่างมาก เจริญสติอย่างมากเลย


ผู้ถาม –  สะสมรอไว้

พระอาจารย์ –  รอไว้เลย พอถึงเวลาทำความเพียรข้ามวันข้ามคืนนี่ มันไม่ฟุ้งซ่าน มันเอาอยู่ 

อุบายภายนอกที่ครูบาอาจารย์ท่านวางไว้เยอะแยะ อดข้าวบ้าง อดน้ำบ้าง...นี่ เหล่านี้เพื่ออะไร ...เพื่อเวลาที่มาทำความเข้มข้นระหว่างการภาวนาจริงๆ พวกนี้มันจะตัดสิ่งรบกวน...สิ่งรบกวนในจิต

บางท่านบางองค์นี่ ไม่กินนม ไม่กินของมัน  เพราะพวกนี้เป็นตัวที่สนับสนุนราคะ...ทางกาย


โยม –  เป็นทุกคนหรือคะ

พระอาจารย์ –  ไม่แน่ อันนี้แล้วแต่ ...ใครจะรู้  ก็ตามธาตุขันธ์ ...ท่านจะสำรวจด้วยตัวของท่านเอง ท่านจะรู้ด้วยตัวของท่านเอง


โยม –  เคยไปอ่านที่หลวงตาบัวท่านบอกของทอดของมัน

พระอาจารย์ –  แล้วแต่ มันไม่ใช่ทุกคนไป  หรือบางคนก็เรียกว่าต้องอยู่ในสติให้มาก ให้ทั่ว ให้ถี่ ระหว่างวัน แล้วเวลานั่งยาวๆ แบบครึ่งวันครึ่งคืนนี่ แล้วมันจะอยู่ได้นาน


โยม –  แล้วบางท่านทานนมส่วนใหญ่ล่ะคะ

พระอาจารย์ –  ก็ไม่เป็นไร จริงๆ น่ะ มันไม่ได้เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ เข้าใจมั้ย ...เหล่านี้มันเป็นแค่ปัจจัย เป็นเพียงปัจจัยที่มาสนับสนุน หรือมาเอื้อเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง

แต่อย่าถือเป็นหลักนะ เอาเป็นหลักไม่ได้นะ ...ถ้าหลักคือหลักเดียว...ศีลสมาธิปัญญา 

อุบายพวกนี้อย่าเอาเป็นหลักนะ ถ้าเอาเป็นหลักเมื่อไหร่ปุ๊บนะ จะกลายเป็นสีลัพพตะเลย ...มันจะติดกลายเป็นข้อบังคับของตัวเองเลย เป็นกฎหมายประจำใจขึ้นมาเลย นี่ ยุ่งเลยนะ

คือที่พูดเล่าให้ฟังนี่เพื่อให้เห็น ...เพราะว่าการฝึกการปฏิบัตินี่ มันไปได้สุดโต่ง  มันไปทั้งอัตตกิลมถานุโยค ทั้งในส่วนที่ละอย่างเข้มข้น  แล้วก็ในส่วนที่ติดอย่างมากมาย 

มันต้องไปของมันอย่างนี้อยู่แล้ว กว่าที่มันจะปรับความสมดุลได้ ...แล้วก็พึ่งอาศัยอุบายธรรมทั้งหลายนี่แค่เพียง...บอกแล้วไง จนเป็นไทนะ ไม่เป็นราวแล้วกู ...คือแต่ก่อนมี accessory เยอะเหลือเกิน 

เห็นมั้ย อย่างธุดงคกรรมฐานนี่ ๑๓ ข้อเข้าไปแล้ว เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าบัญญัติหรือวางไว้ ...ธุดงค์นี่ คำว่าธุดงคกรรมฐาน ธุดงควัตรนี่ เป็นธรรมขั้นอุกฤษฏ์ เพื่อขัดเกลากิเลสแบบอุกฤษฏ์ 

แต่ก็ไม่ได้เป็นวินัยบัญญัติ ...คือท่านไม่ได้บอกว่าพระทุกองค์จะต้องรักษาธุดงควัตรอย่างนี้ ...แต่ว่าเป็นธรรมที่ว่าขัดเกลากิเลสขั้นอุกฤษฏ์ ...ให้เลือกเอา

แล้วท่านไม่ได้บอกว่าต้องทำ ๑๓ ข้อด้วยนะ...ให้เลือกเอา  พระเลยเลือกเอาอย่างเดียวคือบิณฑบาต ง่ายที่สุด บิณฑบาตนี่ก็ถือว่าเป็นธุดงควัตรนะ ธุดงควัตร ขัดเกลา

เพราะอะไร ...กินในบาตร ฉันในบาตร ได้ของที่มาในบาตร  มันก็เป็นการกำราบกิเลสโลภะในรสชาติ ...อยากได้ร้อนก็ได้เย็น อยากกินเย็นได้ของร้อน 

หรืออยากกินของแข็งได้ของนิ่ม อย่างเนี้ย อยากได้กินมากก็ได้กินนิดนึง อยากกินของถูกปาก ก็ได้กินของที่ไม่ถูกปาก มันไม่แน่ ก็ต้องกิน ...นี่เขาถือว่าเป็นธุดงควัตรนะ

แต่เดี๋ยวนี้สมัยนี้มันก็เจือจางลงไปแล้ว... บิณฑบาตมาแล้วของในบาตรเททิ้ง กูกินข้าววัด มีโรงครัว อะไรอย่างนี้ เห็นมั้ย ...แต่ ยังไงก็ยังจัดอยู่ในธุดงค์อยู่ 

เพราะว่าธุดงค์ก็มีความเข้มข้นในการถือหลายระดับ... ต้น กลาง แล้วก็อุกฤษฏ์  บิณฑบาต ถือผ้าสามผืน ไม่มีสำรอง มีแค่สามผืนจริงๆ อะไรอย่างนี้

เพราะนั้นเวลาจะไปถือธุดงค์อย่างนี้ มันจะต้องไปอยู่ในป่า มันก็ง่ายต่อการถือธุดงค์ ถ้าอยู่ในวัด อยู่ในบ้านในเมืองคงถือยาก พอถือธุดงค์ขึ้นมาแล้วมันจะกลายเป็นตัวประหลาดขึ้นมาในสังคมวัดสังคมเมือง

เพราะนั้นมันจึงเป็นธรรมที่สะดวกต่อการที่อยู่คนเดียว แล้วจะหยิบยกขึ้นมาเป็นเครื่องขัดเกลาจิตอย่างอุกฤษฏ์ ...การอยู่กลางแจ้ง การอยู่ป่าช้า การไม่นอน นี่ พวกนี้ถือธุดงค์หมด


โยม –  ซึ่งโยมว่ามันก็เป็นประโยชน์ ช่วยทำให้ไม่ฟุ้งไปตามกิเลส  แต่ก็จะมีสมัยนี้ ก็จะสงสัยว่าทำอุกฤษฏ์เกินไป

พระอาจารย์ –  เอ้า เท่านี้แหละ ได้เนื้อความใจความกันพอสมควร

อยู่ที่ความตั้งใจ ภาวนาคือความตั้งใจขึ้นมา ตั้งใจให้ได้ทุกที่ ตั้งขึ้นมาให้ได้ ตั้งกายขึ้นมาให้ ตั้งใจขึ้นมาให้ได้ทุกที่ นั่นแหละคือภาวนา ..อย่าให้มันล้ม อย่าให้มันหาย


(ต่อแทร็ก 15/19)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น